พอดีผ่านมาเลยแวะวันที่ 2/2/68 เห็นว่ากำลังเตรียมจัดงาน วันที่ 6-9 กุมภาพันธ์ 2568 มาเที่ยวงานกันได้นะครับ ผมลองหาข้อมูลเกี่ยวกับพันท้ายนรสิงห์แล้วน่าสนใจมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือแต่งขึ้น ผมว่าไม่สำคัญ มันสำคัญว่าเรื่องของพันท้ายให้เป็นเรื่องสอนใจถึงคนรุ่นหลัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความซื่อสัตย์ ความรักที่ท่านมีต่อชาติบ้านเมืองและพระมหากษัตริย์ ข้อมูลที่หาได้ก็ตามนี้ครับ
เรื่องของ “พันท้ายนรสิงห์” ปรากฏครั้งแรกในพระราชพงศาวดารกรุงสยาม จากต้นฉบับของบริติชมิวเซียม ซึ่งชำระสมัยต้นรัตนโกสินทร์ โดยกล่าวว่า “…พ.ศ. ๒๒๔๗ พระเจ้าเสือ เสด็จโดยเรือพระที่นั่งเอกไชย ประพาสเพื่อทรงเบ็ด ณ ปากน้ำเมืองสาครบุรี เมื่อเรือพระที่นั่งถึงตำบลโคกขามซึ่งเป็นคลองคดเคี้ยวและมีกระแสน้ำเชี่ยวกราก พันท้ายนรสิงห์ซึ่งถือท้ายเรือพระที่นั่งมิสามารถคัดแก้ไขได้ทัน โขนเรือพระที่นั่งกระทบกับกิ่งไม้หักตกลงไปในน้ำ พันท้ายนรสิงห์จึงได้กระโดดขึ้นฝั่งแล้วกราบทูลให้ทรงลงพระอาญาตามพระกำหนดถึงสามครั้งด้วยกัน เนื่องจากในครั้งแรก พระเจ้าเสือพระราชทานอภัยโทษ เพราะเห็นว่าเป็นอุบัติเหตุสุดวิสัย ครั้งที่สองก็รับสั่งให้สร้างรูปปั้นปลอมแล้วตัดหัวรูปปั้นนั้นแทน แต่ท้ายสุดก็ได้ตรัสสั่งให้ประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะพันท้ายนรสิงห์ตามคำขอ แล้วสร้างศาลเพียงตา นำศีรษะของพันท้ายนรสิงห์และโขนเรือเอกไชยขึ้นตั้งบนศาลไว้บูชาพร้อมกัน แล้วเสด็จออกไปทรงเบ็ด ณ ปากน้ำเมืองสาครบุรี เมื่อกลับกรุงศรีอยุธยา โปรดให้นำศพของพันท้ายนรสิงห์มาพระราชทานเพลิงศพ พระราชทานเงินทองสิ่งของจำนวนมากแก่ภรรยาลูกเมียพันท้ายนรสิงห์ ภายหลังพระเจ้าเสือได้ทรงให้สมุหนายกเกณฑ์ไพร่พลจำนวน ๓๐,๐๐๐ คน ให้พระยาราชสงครามเป็นแม่กอง ทำการขุดคลองลัดคลองโคกขามที่คดเคี้ยว ไปออกที่บริเวณแม่น้ำท่าจีน กว้าง ๕ วา ลึก ๖ ศอก ขุดเสร็จในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ พ.ศ. ๒๒๕๒ ได้พระราชทานนามคลองนี้ว่า “คลองสนามไชย” ต่อมาเรียกเป็นคลองมหาชัย ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเมืองมหาชัย แต่ชาวบ้านเรียกว่า “คลองถ่าน” ปัจจุบันชาวบ้านฝั่งธนบุรี เรียกชื่อว่า คลองด่าน…” ในพระราชพงศาวดาร ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ซึ่งเก่ากว่าฉบับบริติชมิวเซียม กล่าวถึงการขุดคลองโคกขามในสมัยพระเจ้าท้ายสระ พ.ศ. ๒๒๖๔ โดยไม่ได้มีการกล่าวถึงการขุดคลองโคกขามในสมัยพระเจ้าเสือ หรือเหตุการณ์ “พันท้ายนรสิงห์” แต่อย่างใด ในกฎมณเฑียรบาลก็ไม่มีการระบุโทษของพันท้ายเรือพระที่นั่งดังที่พงศาวดารบันทึกไว้ โทษส่วนใหญ่เป็นการรับผิดชอบของคนทั้งเรือพระที่นั่ง และพันท้ายเรือพระที่นั่งมี ๒ คน แต่พระราชพงศาวดาร กลับระบุถึงการประหารพันท้ายนรสิงห์เพียงผู้เดียว นายสุเนตร ชุตินธรานนท์ นักประวัติศาสตร์ ก็วิเคราะห์ว่า พันท้ายนรสิงห์เป็นเรื่องที่ถูกแต่งเสริมขึ้นมาในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ เพื่ออธิบายสาเหตุของการล่มสลายของกรุงศรีอยุธยาว่ามาจากผู้ปกครองไม่ดี โดยใช้พันท้ายนรสิงห์เป็นคนวิจารณ์พระเจ้าเสือว่า ไม่ยึดมั่นในขนบธรรมเนียมกฎหมาย และเล่าที่มาของคลองมหาชัย นายสุจิตต์ วงษ์เทศ นักค้นคว้าด้านประวัติศาสตร์ มองว่า พันท้ายนรสิงห์เป็นเพียงตัวเอกของ “นิทาน” แทรกในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาแผ่นดินพระเจ้าเสือ (ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๒๒๔๕-๒๒๕๑) นายสุจิตต์ บอกว่า พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา (ร.๔) ไม่ได้ระบุว่าพันท้ายนรสิงห์ชื่อจริงอะไร อายุเท่าไร เป็นลูกเต้าเหล่าใคร บ้านอยู่ไหน เมียชื่ออะไร มีลูกหรือยัง? ฯลฯ สรุปว่า แทบไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับพันท้ายนรสิงห์เลย ส่วนเรื่องที่ว่าพันท้ายนรสิงห์ มีชื่อเดิมว่า “สิน” เป็นชาวบ้านนรสิงห์ แขวงเมืองวิเศษชัยชาญ (ปัจจุบัน คือ อำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง) มีภรรยาชื่อ “นวล” หรือ “ศรีนวล” ได้รู้จักกับพระเจ้าเสือด้วยการแข่งขันชกมวยไทยกัน เมื่อพระองค์แปลงองค์มาเป็นชาวบ้านธรรมดา และทรงโปรดในอุปนิสัยใจคอ ต่อมาได้กลายมาเป็นนายท้ายเรือพระที่นั่งของพระเจ้าเสือ ในบรรดาศักดิ์พันนั้น เป็นเรื่องราวจากบทละครเวทีที่ประพันธ์โดย “พระเจ้าวรวงศ์เธอ...
Read moreปางเมื่อ พระเจ้าเสือ เสด็จประทับเรือเอกไชย ประพาสชลาลัย ใคร่สำรวจตรวจพารา พันท้ายนรสิงห์ ถือท้ายนิ่ง ระวังนาวา เอกไชยแล่นเข้าคลองมา ล่วงถึงหน้าโคกขามตำบล เฮ เฮ เฮ เฮ เฮ เฮ...
คลองคด คัดเรือไม่ไหว โขนเรือโดนไม้หักปี้ป่น นรสิงห์ รู้โทษตน กระโดดขึ้นบนฝั่ง ถวายชีวิตตัว นรสิงห์ ทูลถวายชีวิต เมื่อทำผิด แล้วไม่กลัว เกียรติศักดิ์ รักยิ่งกว่าตัว ยอมเสียหัว ไม่ยอมเสียวินัย จนพระทัย สั่งให้ประหาร แล้วสร้างศาลคู่กันไป เอาศรีษะนรสิงห์ไว้อีกโขนเรือเคียงคู่กัน เฮ เฮ เฮ เฮ เฮ เฮ...
พี่น้องทุกเหล่าเชื้อเผ่าไทย จงรักษาเกียรติวินัย เช่น นรสิงห์ ไทยต้องรักวินัยให้มั่นจริง บูชายิ่งกว่าหัวใจ...
Read moreการบูชาผู้ที่ควรบูชา เป็นมงคลอันอุดม
พันท้ายนรสิงห์ เป็นนายท้ายเรือในรัชสมัยพระเจ้าเสือหรือสมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 2 แห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวงตอนปลายอาณาจักรอยุธยา...
Read more