Das ist ein kleiner Geschichts Auszug aus der Schrifttafel vom Wat Lai Hin, einem Lanna-Tempel. Phra That Chedi enthält die Reliquien von Lord Buddha (Pa Ta Kini, in der Stadt Fa Phra Phutthabat). Der Lord Buddha wurde im Jahr 218 v. Chr. von zwei Arahants, Phra Kumara Kassapa und Phra Memiya Kera, erbaut. Sie bauten eine vier Pfeiler hohe Chedi und machten daraus ein Kloster, das bis 916 v. Chr. bestand, als ein wandernder Mönch aus Sri Lanka die Chedi sah, sich ihr hingab und eine Einsiedelei errichtete, um an der Chedi zu praktizieren. Er pflanzte einen Bodhi-Baum aus Sri Lanka im Nordosten von Phra Radu und eine Palme im Nordosten. Die Stadtbewohner bauten eine Hütte für Phra That. Im Süden erbaute Phraya Ramrak eine 15 Sok hohe Chedi. Im Jahr 720 v. Chr. erbaute Phraya Ramrak eine 15 Sok hohe Chedi. Im Jahr 720 v. Chr. zerbrach die Chedi durch ein Erdbeben. Im Jahr 730 v. Chr. schlug ein Blitz in die Chedi ein und ließ sie erneut einstürzen. Im Jahr 730 v. Chr. erbaute Chao Churawong eine neue Chedi. Im Jahr 783 v. Chr. restaurierte Phra Maha Pa Kasarapanyo zusammen mit dem Prinzen von Chiang Tung die Chedi. Im Jahr 792 v. Chr. bauten Kru Ba Wongkha und Por Phu Yai Noi Po Krui Yan einen Zaun um alle vier Seiten. Im Jahr 792 v. Chr. restaurierte die Abteilung der Schönen Künste die Chedi, indem sie sie während der Herrschaft von Phra Khru Aphai Suwannakit (Thong Anamyo Chomnaeng), dem Abt, und Phra Khru Sunthonseladu Nai Chaiphon Attasaro Pala, dem stellvertretenden Abt und kirchlichen Oberhaupt des Unterbezirks Lai Hin, mit neuem Putz überzog. Der ursprüngliche Tempel war aus Holz. Jahr und Erbauer sind unbekannt. Später erbaute Phra Maha Pa Klerpanyo zusammen mit dem Prinzen von Chiang Tung im Jahr 1683 (1045 n. Chr.) den heutigen Tempel. 1953, während der Amtszeit von Phra Athikarn Kaew Sutthasilo, wurden einige Teile renoviert und das Holzdach durch Ziegel ersetzt. 1990 unterstützte die Universität Chiang Mai die Renovierung. Der obere Teil des Daches wurde durch Tonziegel ersetzt. Während der Amtszeit von Phra Khru Aphai Suwannakitthong Anamyo Chomnaeng, dem Abt, und Phra Khru Sunthon Seladunchaiphon Attasaro Pala, dem stellvertretenden Abt, renovierte die Abteilung der Schönen Künste im Jahr 2009 einige Teile, wie beispielsweise Pansom. Wie man es heute in derselben Ära sieht. Der Khong-Torbogen wurde im Jahr 1683, 1045 n. Chr., von Phra Maha Pa Kesara Panyo zusammen mit dem Prinzen von Chiang Tung erbaut. Das Wat ist immer ein...
Read moreวัดเสลารัตนปัพพะตาราม หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า วัดไหล่หิน หรือ วัดไหล่หินหลวงแก้วช้างยืน และในบางครั้งชาวบ้านรุ่นก่อนๆ เรียกว่า วัดป่าหิน หรือ วัดม่อนหินแก้ว เป็นวัดที่ตั้งอยู่ใน อำเภอเกาะคาจังหวัดลำปาง ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าสร้างขึ้นเมื่อใด แต่ ดร.ฮันส์ เพนธ์ ได้พบคัมภีร์ใบลานที่เก่าแก่ที่สุดของวัด ระบุจุลศักราช 833 หรือ พ.ศ. 2014 ตำนานของวัดกล่าวไว้ว่า ช่วงพุทธศตวรรษที่ 23 ในสมัยของพระมหาป่าเกสรปัญโญ เป็นระยะที่มีการก่อสร้างและบูรณะเสนาสนะต่างๆ มากมาย เนื่องจากท่านเป็นพระสงฆ์ที่มีผู้นับถือมากมาย เล่ากันว่าครั้งที่ท่านธุดงค์ไปถึงเชียงตุง ท่านได้มอบกะลาซีกหนึ่งให้ชายคนหนึ่ง จากนั้นท่านก็กลับมาลำปาง โดยไม่ได้บอกชายผู้นั้นว่าท่านอยู่ที่ใด ต่อมาชายคนนั้นได้ตามมาหาท่านจนพบที่วัดไหล่หิน แล้วนำกะลามาประกอบเข้าเป็นหนึ่งเดียว ชายคนดังกล่าวเกิดความศรัทธาแรงกล้า ได้ขอบูรณะวัดและก่อสร้างวิหารหลังที่เห็นปัจจุบ้นขึ้นในปี พ.ศ. 2226
สถาปัตยกรรม
สถาปัตยกรรมวัดไหล่หิน เป็นรูปแบบพุทธศาสนาแบบล้านนา ประกอบด้วยลานหน้าวัด หรือ ข่วงสำหรับกิจกรรมและปลูกต้นโพธิ์ วิหารโถง ศาลาบาตรและลานทราย และมีเจดีย์ท้ายวิหาร แบบล้านนาซึ่งเชื่อว่าบรรจุพระบรมธาตุ มีรูปแบบจำลองภูมิจักรวาล คือวิหารเปรียบเสมือนชมพูทวีป เจดีย์เปรียบเหมือนเขาพระสุเมรุ และลานทรายเปรียบเสมือนมหานทีสีทันดร ส่วนพุทธาวาสก่อสร้างอย่างสวยงาม และมีขนาดส่วนที่ค่อนข้างเล็กกะทัดรัด อาคารต่าง ๆ ก่อสร้างด้วยอิฐฉาบปูน ประดับปูนปั้น ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว วิหารมีลักษณะสกุลช่างลำปาง ซึ่งจะมีลักษณะอ่อนช้อยน้อยกว่าสกุลช่างเชียงใหม่ คือหลังคาจะมีลักษณะแอ่นโค้งเพียงเล็กน้อย เรียกวิหารแบบนี้ว่า ฮ้างปู้ หมายถึง ร่างการของผู้ชาย เป็นวิหารโถง หลังคาซ้อน 3 ชั้น 2 ตับ มุง กระเบื้องดินเผาปลายตัด ที่น่าสนใจคือ เครื่องลำยองของวิหารนี้มีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากการบูรณปฏิสังขรณ์ ทำให้มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ เป็นแบบไทยภาคกลาง ซุ้มประตูโขงวัดไหล่หินนั้นมีลักษณะคล้ายคลึงกับวัดพระธาตุลำปางหลวง แต่มีการประดับตกแต่งที่แตกต่างกันบ้าง คือมีการใช้ตุ๊กตาดินเผาประดับ นอกจากเสนาสนะและบริเวณที่ทางวัดได้อนุรักษ์และดูและเป็นอย่างดี ยังมีคัมภีร์โบราณและโบราณวัตถุที่ทางวัดได้เก็บรักษาไว้เป็นจำนวนมาก บางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตำนานของวัดเช่น กะลามะพร้าว และบาตรของพระมหาป่าเกสรปัญโญ กรมศิลปากรได้ประกาศวัดไหล่หินขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน โดยกำหนดขอบเขตในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 97 ตอนที่ 195 ลงวันที่ 14 ตุลาคม พ .ศ .2523 สิ่งที่ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน คือ วิหารทรงล้านนา พระธาตุเจดีย์ พระอุโบสถ ซุ้มประตูกำแพงแก้ว และหอธรรม นอกจากนี้ในปี 2550...
Read moreสถาปัตยกรรมวัดไหล่หิน เป็นรูปแบบพุทธศาสนาแบบล้านนา ประกอบด้วยลานหน้าวัดหรือข่วงสำหรับกิจกรรมและปลูกต้นโพธิ์ วิหารโถง ศาลาบาตรและลานทราย และมีเจดีย์ท้ายวิหาร แบบล้านนาซึ่งเชื่อว่าบรรจุพระบรมธาตุ มีรูปแบบจำลองภูมิจักรวาล คือวิหารเปรียบเสมือนชมพูทวีป เจดีย์เปรียบเหมือนเขาพระสุเมรุ และลานทรายเปรียบเสมือนมหานทีสีทันดร
ส่วนพุทธาวาสก่อสร้างอย่างสวยงาม และมีขนาดส่วนที่ค่อนข้างเล็กกะทัดรัด อาคารต่าง ๆ ก่อสร้างด้วยอิฐฉาบปูน ประดับปูนปั้น ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว วิหารมีลักษณะสกุลช่างลำปาง ซึ่งจะมีลักษณะอ่อนช้อยน้อยกว่าสกุลช่างเชียงใหม่ คือหลังคาจะมีลักษณะแอ่นโค้งเพียงเล็กน้อย เรียกวิหารแบบนี้ว่า ฮ้างปู้ หมายถึง ร่างการของผู้ชาย เป็นวิหารโถง หลังคาซ้อน 3 ชั้น 2 ตับ มุง กระเบื้องดินเผาปลายตัด ที่น่าสนใจคือ เครื่องลำยองของวิหารนี้มีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากการบูรณปฏิสังขรณ์ ทำให้มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ เป็นแบบไทยภาคกลาง
ซุ้มประตูโขงวัดไหล่หินนั้นมีลักษณะคล้ายคลึงกับวัดพระธาตุลำปางหลวง แต่มีการประดับตกแต่งที่แตกต่างกันบ้าง คือมีการใช้ตุ๊กตาดินเผาประดับ นอกจากเสนาสนะและบริเวณที่ทางวัดได้อนุรักษ์และดูและเป็นอย่างดี ยังมีคัมภีร์โบราณและโบราณวัตถุที่ทางวัดได้เก็บรักษาไว้เป็นจำนวนมาก บางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตำนานของวัดเช่น กะลามะพร้าว และบาตรของพระมหาป่าเกสรปัญโญ
กรมศิลปากรได้ประกาศวัดไหล่หินขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน โดยกำหนดขอบเขตในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 97 ตอนที่ 195 ลงวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2523 สิ่งที่ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน คือ วิหารทรงล้านนา พระธาตุเจดีย์ พระอุโบสถ ซุ้มประตูกำแพงแก้ว และหอธรรม นอกจากนี้ในปี 2550...
Read more