วัดมโนภิรมย์ บ้านชะโนด อำเภอว่านใหญ่ จ. มุกดาหาร วัดเก่าแก่ริมแม่น้ำโขง ที่มีอายุกว่า 300 ปี สร้างขึ้นราว ปี 2230 ราวๆ สมัยอยุธยาตอนปลาย โดยท้าวคำสิงห์ เป็นผู้นำในการโยกย้าย จากบ้านท่าสะโน ถิ่นฐานเดิมในฝั่งลาว หลังพื้นที่ทำเลเดิมนั้นเริ่มจะคับแคบไม่เพียงต่อลูกบ้านที่มีเพิ่มจำนวนขึ้น แต่เดิมวัดชื่อ บ้านชะโนด (ต้นไม้ที่มีลักษณะคล้ายต้นตาล) ชื่อเดียวกับชื่อหมู่บ้านและชื่อลำห้วยที่ไหลลงสู่ลำน้ำโขง ก่อนมาเปลี่ยนชื่อเป็น “วัดมโนภิรมย์”
วัดมโนภิรมย์ สร้างขึ้นราว พ.ศ.2230 ท้าวคำสิงห์กับญาติพี่น้อง อพยพมาจากฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ร่วมกันสร้างขึ้น เดิมทีได้ช่างหลวงจากเวียงจันทน์เป็นผู้ออกแบบและสร้าง ต่อมาได้ถูกเพลิงไหม้จนเสียหาย และมีการซ่อมแซม ทำให้รูปแบบศิลปกรรมเปลี่ยนแปลงไป แต่ก็ยังคงความงดงามที่ป็นเอกลักษณ์มีการผสมผสานงานฝีมือช่างหลวงกับช่างพื้นบ้านอย่างลงตัว
ลักษณะเป็นอาคารหลังคาคลุม แผนผังสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 5 ห้อง หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ตัวอาคารก่ออิฐถือปูนรองรับด้วยฐานบัวลูกแก้วอกไก่ ด้านหน้าและหลังมีเสาทรงสี่เหลี่ยมทึบ 2 คู่ คู่ในก่อสูงขึ้นไปเพื่อรองรับเครื่องบน ส่วนคู่นอกอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า หลังคาไม้มุงกระเบื้อง กรอบหน้าบันประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ซึ่งแบ่งเป็น 2 จังหวะ ลักษณะเสมือนว่ามีการทำหลังคาซ้อนชั้น ซึ่งที่จริงมีเพียงชั้นเดียว มีการประดับด้วยรวงผึ้งหรือโก่งคิ้ว หน้าจั่วแหลมชันและงอน ซุ้มประตูใหญ่หน้าบันเป็นไม้แกะสลักลวดลายเรียบๆ สวยงามตามแบบของงานไม้ ซุ้มประตูงานปูนปั้นเป็นมีรูปสัตว์โบราณตามความเชื่อในพุทธกาลอย่างพญานาค แปะสลับด้วยกระจกเพียงเล็กน้อย เพื่อสร้างความแววาวยามต้องกระทบกับสงแดดยามเช้า และหัวเสาเป็นงานปูนปั้น ตรงบันไดใหญ่หน้าบันเป็นคชสีห์คู่ขนาดพอกับลูกแกะ บันไดด้านข้าง ซ้ายขวาราวบันไดเป็นรูปปั้นรูปสัตว์สองตัว เป็นยามคอยป้องกันสัตว์ร้ายต่างที่จะทำร้าย รูปแบบวิหารคล้ายกับที่พบในศิลปะลาวสกุลช่างเวียงจันทน์ นับเป็นศิลปกรรมสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานเข้าด้วยกันระหว่าง ไทย ลาว เขมร อ่อนช้อยดูลงตัวงดงาม ทั้งงานไม้และงานปูนปั้นอันวิจิตร
นอกจากนี้ยังพบงานศิลปะญวน เช่น การทำช่องประตูที่เป็นวงโค้งแบบตะวันตกที่น่าจะรับผ่านจากญวน รวมทั้งการทำเสาสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่มีลายกลีบบัวขนาดใหญ่ด้วย เป็นวัดเก่าแก่ มีวิหารที่สร้างแบบสถาปัตยกรรมล้านช้าง มีซุ้มประตูลายปูนปั้น หน้าต่างทำด้วยลูกดิ่ง หน้าบันเป็นไม้แกะสลักลายนูนต่ำที่งดงาม หาดูได้ยาก ภายในวิหารยังมีช้างงาดำและสลักเป็นพระพุทธเจ้าแปดองค์ และพระองค์แสนพระคู่บ้านคู่เมือง
โบสถ์หลังเดิมถูกไฟไหม้ ความงามทางศิลปะถูกเผาไปเหลือเพียงเถ้าถ่าน ชาวบ้านและทางวัดจึงได้ร่วมมือกันบูรณะขึ้นมาอีกครั้ง แม้จะไม่งดงามเท่าเมื่อในครั้งอดีตเพราะงานฝีมือั้นไม่อาจทำเลียนแบบได้เสมอเหมือน ภายในโบส์มี มี”พระประทาย”หรือ “พระองค์หลวง” พระประธานสร้างด้วยอิฐปูนดูเด่นสง่า จากพนังราบเรียบที่ไม่มีลวดลายลายจิตกรรมผาผนัง สมสัดส่วน พระพักษ์ทั้งหมด บ่งบอกถึงสกุลช่างลาว ด้านซ้ายมีพระงา 8 องค์ นาบข้างซ้าย-ขวา องค์พระ มีพระเจ้าองค์ตื้อ และพระองค์แสน ซึ่งชาวบ้านให้ความเคารพนับถืออย่างมาก อีกทั้งพระพุทธรูปไม้กะสลักที่ชาวบ้านนำมาถวายอีกจำนวนหนึ่ง หน้าต่างทุกช่องมี “ลูกมะหวด” แกะจากไม้ ทำหน้าที่เป็นลูกกรงป้องกันมือดีที่จะมาฉกฉวยทรัพย์สิน
ภายในวัด มีศาลหลักบ้านเก่าแก่ ที่แสดงให้เห็นว่า ท้าวคำสิงห์ผู้สรา้งชุมชนบ้านชะโนดไม่ใช้ชาวบ้านธรรมดา เนื่องจากการมีศาลหลักบ้านได้ต้องมีพิธีพราหมณ์ ซึ่งชาวบ้านทั่วไปไม่สามารถประกอบพิธีพราหมณ์ได้ ดังนั้นท้าวคำสิงห์ น่าจะเป็นผู้ที่มีฐานะสูงศักดิ์ ในสมัยนั้น โดยเฉพาะการตั้งหมู่บ้านพร้อมกับมุกดาหาร…
ปัจุบัน พระงา ซึ่งแกะสลักจากเป็นพระเจ้า 8 องค์ บนงาของพลายเคน ซึ่งเป็นเคยเป็นช้างของเจ้าเมืองเวียงจันทร์ที่พลัดตกแม่น้ำถูกช่วยขึ้นมาได้ และได้ถวายให้แก่วัดนี้ในเวลาต่อมา นั้นถูกขโมยหายไปพร้อมกับพระองค์แสน ที่เคยถูกขโมยจากวัดมาแล้ว ถึง 4 ครั้งแต่ก็ได้กลับคืนมาทุกครั้งไป...
Read moreมาไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัด มี รูปหล่อท้าวคำสิงห์ มีรูปหล่ออดีตเจ้าอาวาส 3 รูป ญาท่านหอ ญาทานบุ พระครูกัสปะ มีพระพุทธรูปโบราณอยู่ในโบสถ์ สวยงาม เป็นวัดโบราณ หลายร้อยปี ส่วนประวัติตามนี้ครับ
วัดมโนภิรมย์ หรือ วัด บ้านชะโนด ตั้งอยู่ที่ อำเภอ หว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหาร สร้างขึ้นเมื่อ ปีพ.ศ. 2230 โดยมีท้าวคำสิงห์ และญาติที่ย้ายมาจากบ้านท่าสะโนประมาณ 30 ครอบครัวเศษ เป็นผู้สร้าง พร้อมกับการตั้งบ้านชะโนดและเมืองมุกดาหาร ณ ป่าชะโนด ใต้ปากห้วยชะโนด ครั้งแรกเรียกชื่อว่า วัดบ้านชะโนด ภายหลังใช้ชื่อว่า “วัดมโนภิรมย์” บ้านชะโนดและวัดมโนภิรมย์ สร้างขึ้นตรงกับสมัยอยุธยาตอนปลาย รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แรกเริ่มสร้างวัดนั้นอยู่ในระยะที่ตั้งตัวใหม่ เสนาสนะคงมีแต่กุฏิ และศาลาโรงธรรมและรั้ววัดเท่านั้น วัดมโนภิรมย์มาเจริญเป็นปึกแผ่นมั่นคงเมื่อพ.ศ. 2269 ต่อมาผู้นำในการสร้างและต่อเติมวัดแห่งนี้คือท่าน หอ พระครูกัสสปะ จารย์โชติ บุตรชายท้าวเมืองโครก ผู้นำวัสดุก่อสร้างวัดพระราชทานจากกษัตริย์กรุงเวียงจันทน์ การก่อสร้างโบสถ์ พัทธสีมา ส่วนประกอบ ลวดลาย รั้ววัด เสร็จเรียบร้อยภายใน3 ปี คือ พ.ศ. 2299 วันที่ 28 เดือน มีนาคม พ.ศ. 2447 เกิดอัคคีภัย ไฟไหม้ บ้านเรือน วัดวาอาราม วอดวายเสียหายอย่างประเมินค่ามิได้ โดยเฉพาะวัดมโนภิรมย์อันมีกุฏิ วิหาร พัทธสีมา ศาลาการเปรียญ ตู้พระไตรปิฏก พระพุทธรูป เรือแข่ง รั้ววัด ตลอด ฆ้อง กลอง ระฆัง ไฟไหม้วอดวายเสียหายสิ้น พ.ศ.2448 ศรีสุราช และชาวบ้านได้ไปนิมนต์พระบุ นันทวโร จากบ้านท่าสะโนซึ่งเป็นบ้านเดิม มาเป็นผู้นำซ่อมแซมปฏิสังขรณ์ ท่านได้นำชาวบ้านซ่อมแซมวัดมโนภิรมย์ อยู่ 6 ปี จึงสำเร็จเรียบร้อยทุกอย่าง คือ กุฏิ วิหาร พัทธสีม ศาลา รั้ววัด แม้กระทั่งเรือแข่ง ด้วยความพากเพียรพยายามของท่าน การปฏิสังขรณ์จึงสำเร็จลุล่วงลงด้วยดี และคงไว้ซึ่งศิลปะดั้งเดิม การบูรณะปฏิสังขรณ์แล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2454 ศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมที่ควรหยิบยกขึ้นมากล่าวถึง คือแบบอย่าง เป็นแบบ เขมร ไทย ลาว ผสมผสานกัน แต่ทุกอย่างประณีตอ่อนช้อยงดงาม (1) โบสถ์ หลังชั้นเดียว หน้าจั่วแหลมชันและงอน ซุ้มประตูใหญ่หน้าบันแกะสลักลวดลายวิจิตรโดดเด่น หาดูได้ยาก เสาสลักลวดลายอ่อนช้อยรดด้วยลายนกทอง ภายในพระประธานเป็นอิฐปูนแต่เด่นสง่า สมสัดส่วน ฐานลดหลั่นงดงาม รอบฐานมีรูปสิงห์หมอบ ตรงบันไดทุกช่องเป็นรูปจระเข้คู่ ตรงบันไดใหญ่หน้าบันเป็นคชสีห์คู่ ขนาดเท่าม้า แสดงถึงความลึกซึ้งเก่าแก่ (2) พัทธสีมา ศิลปะคล้ายๆ แบบขอ พระประธาน เป็นพระกัจจาย (3) รั้ววัดและซุ้มประตูวัด เป็นไม้เนื้อแข็ง กลึงเป็นรูปบัวตูมฝังเรียงกัน ซุ้มประตูทำเป็นเสาใหญ่เท่าต้นตาล แต่กลึงเป็นรูปบัวตูม มีรูปปั้นด้วยอิฐปูนเป็นยามเฝ้าประตูทุกช่อง น่าเกรงขามมาก มีบันไดท่าน้ำ ทำเป็นบันไดอิฐปูนลดหลั่นลงตลิ่ง มีรูปหมาเป็นยามนั่งเฝ้า 1 คู่ ตัวโตขนาดเท่าเก้ง แต่สวยงามมาก (4) พระองค์ตื้อ เป็นพระทองสัมฤทธิ์ หล่อขึ้นในสมัยที่พระครูกัสสปะเป็นเจ้าอาวาสแทนท่านหอ แต่ไม่ทราบวัน เดือน ปี ที่แน่นอน (5) พระองค์แสน เป็นพระพุทธรูปสมัยเชียงแสนหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ในเวลาใกล้เคียงกัน เป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์และงดงามมาก (6) พระพุทธรูปปางห้ามญาติ สมัยศรีวิชัย (7) พระงา เป็นพระพุทธรูปงาช้างที่แกะสลักโดยพระอุปัชฌาย์บุนันทวโร พระเจ้า 8 พระองค์
การบริหารเเละการปภครอง มีเจ้าอาวาส เท่าที่ทราบนาม คือ
รูปที่ ๑ พระบุญ รูปที่ ๒ พระลัง รูปที่ ๓ พระบุ รูปที่ ๔ พระเเพง รูปที่ ๕ พระพรหม รูปที่ ๖ พระสังข์ รูปที่ ๗ พระลัง รูปที่ ๘ พระจันทร์ รูปที่ ๙ พระคูณ รูปที่ ๑๐ พระขาว รูปที่ ๑๑ พระมา รูปที่ ๑๒ พระชู รูปที่ ๑๓ พระหมุน รูปที่ ๑๔ พระอินทร์ รูปที่ ๑๕ พระกัณหา รูปที่ ๑๖ พระล้ำ รูปที่ ๑๗ พระปรีชา โกวิโท รูปที่ ๑๘ พระผดุง รูปที่ ๑๙ พระจำปา รูปที่ ๒๐ พระคำต้น รูปที่ ๒๑ พระบรรทม รูปที่ ๒๒ พระสมนีก กันตะสีโล พ.ศ.๒๕๒๑-๒๕๒๘ รูปที่ ๒๓ พระหมุน สิริจันโท พ.ศ. ๒๕๒๘-๒๕๓๗ รูปที่ ๒๔ พระพัด...
Read moreวัดมโนภิรมย์ มีอายุประมาณ 337 ปีตั้งอยู่ที่ บ้านชะโนด ต.ชะโนด อ.หว้านใหญ่ จ.มุกดาหาร กรมศิลปะกรระบุว่าวัดนี้สร้างขึ้นเมื่อวันอังคาร ขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเมีย ตรงกับ พ.ศ.๒๒๓๐ สร้างโดยท้าวคำสิงห์และญาติพี่น้องรวมทั้งบริวารที่อพยพมาจากฝั่งลาวพร้อมกับการตั้งบ้านชะโนด เดิมใช้ชื่อเดียวกับชื่อบ้านและชื่อห้วยซึ่งไหลลงสู่แม่น้ำโขงทางทิศตะวันออก แต่ภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็นวัดมโนภิรมย์ สิ่งสำคัญภายในวัดคือ สิม ซึ่งได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๕ และได้รับการบูรณะครั้งใหญ่เมื่อ พ.ศ.๒๕๔๓ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นนาคปรกปางมารวิชัย รูปแบบอาคารเป็นศิลปะลาวแบบเวียงจันทน์ที่ผสมผสานศิลปะญวน ลักษณะเด่น ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นปางนาคปรกปางมารวิชัย มีงาช้างดำแกะสลักภายใน ประวัติ บ้านชะโนดและวัดมโนภิรมย์ สร้างขึ้นตรงกับสมัยอยุธยาตอนปลาย รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แรกเริ่มสร้างวัดนั้นอยู่ในระยะที่ตั้งตัวใหม่ เสนาสนะคงมีแต่กุฏิ และศาลาโรงธรรมและรั้ววัดเท่านั้น วัดมโนภิรมย์มาเจริญเป็นปึกแผ่นมั่นคงเมื่อพ.ศ. 2269 ต่อมาผู้นำในการสร้างและต่อเติมวัดแห่งนี้คือท่าน หอ พระครูกัสสปะ จารย์โชติ บุตรชายท้าวเมืองโครก ผู้นำวัสดุก่อสร้างวัดพระราชทานจากกษัตริย์กรุงเวียงจันทน์ การก่อสร้างโบสถ์ พัทธสีมา ส่วนประกอบ ลวดลาย รั้ววัด เสร็จเรียบร้อยภายใน3 ปี คือ พ.ศ. 2299 วันที่ 28 เดือน มีนาคม พ.ศ. 2447 เกิดอัคคีภัย ไฟไหม้ บ้านเรือน วัดวาอาราม วอดวายเสียหายอย่างประเมินค่ามิได้ โดยเฉพาะวัดมโนภิรมย์อันมีกุฏิ วิหาร พัทธสีมา ศาลาการเปรียญ ตู้พระไตรปิฏก พระพุทธรูป เรือแข่ง รั้ววัด ตลอด ฆ้อง กลอง ระฆัง ไฟไหม้วอดวายเสียหายสิ้น พ.ศ.2448 ศรีสุราช และชาวบ้านได้ไปนิมนต์พระบุ นันทวโร จากบ้านท่าสะโนซึ่งเป็นบ้านเดิม มาเป็นผู้นำซ่อมแซมปฏิสังขรณ์ ท่านได้นำชาวบ้านซ่อมแซมวัดมโนภิรมย์ อยู่ 6 ปี จึงสำเร็จเรียบร้อยทุกอย่าง คือ กุฏิ วิหาร พัทธสีม ศาลา รั้ววัด แม้กระทั่งเรือแข่ง ด้วยความพากเพียรพยายามของท่าน การปฏิสังขรณ์จึงสำเร็จลุล่วงลงด้วยดี และคงไว้ซึ่งศิลปะดั้งเดิม การบูรณะปฏิสังขรณ์แล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2454 ศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมที่ควรหยิบยกขึ้นมากล่าวถึง คือแบบอย่าง เป็นแบบ เขมร ไทย ลาว ผสมผสานกัน แต่ทุกอย่างประณีตอ่อนช้อยงดงาม (1) โบสถ์ หลังชั้นเดียว หน้าจั่วแหลมชันและงอน ซุ้มประตูใหญ่หน้าบันแกะสลักลวดลายวิจิตรโดดเด่น หาดูได้ยาก เสาสลักลวดลายอ่อนช้อยรดด้วยลายนกทอง ภายในพระประธานเป็นอิฐปูนแต่เด่นสง่า สมสัดส่วน ฐานลดหลั่นงดงาม รอบฐานมีรูปสิงห์หมอบ ตรงบันไดทุกช่องเป็นรูปจระเข้คู่ ตรงบันไดใหญ่หน้าบันเป็นคชสีห์คู่ ขนาดเท่าม้า แสดงถึงความลึกซึ้งเก่าแก่ (2) พัทธสีมา ศิลปะคล้ายๆ แบบขอ พระประธาน เป็นพระกัจจาย (3) รั้ววัดและซุ้มประตูวัด เป็นไม้เนื้อแข็ง กลึงเป็นรูปบัวตูมฝังเรียงกัน ซุ้มประตูทำเป็นเสาใหญ่เท่าต้นตาล แต่กลึงเป็นรูปบัวตูม มีรูปปั้นด้วยอิฐปูนเป็นยามเฝ้าประตูทุกช่อง น่าเกรงขามมาก มีบันไดท่าน้ำ ทำเป็นบันไดอิฐปูนลดหลั่นลงตลิ่ง มีรูปหมาเป็นยามนั่งเฝ้า 1 คู่ ตัวโตขนาดเท่าเก้ง แต่สวยงามมาก (4) พระองค์ตื้อ เป็นพระทองสัมฤทธิ์ หล่อขึ้นในสมัยที่พระครูกัสสปะเป็นเจ้าอาวาสแทนท่านหอ แต่ไม่ทราบวัน เดือน ปี ที่แน่นอน (5) พระองค์แสน เป็นพระพุทธรูปสมัยเชียงแสนหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ในเวลาใกล้เคียงกัน เป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์และงดงามมาก (6) พระพุทธรูปปางห้ามญาติ สมัยศรีวิชัย (7) พระงา เป็นพระพุทธรูปงาช้าง กราบพระทำบุญถวายสังฆทานอาสนะถวายปัจจัยค่าน้ำค่าไฟทำบุญบำรุงวัด ถวายน้ำดื่ม สาธุสาธุสาธุ ...
Read more