“พระประแดง” เป็นเมืองหน้าด่านโบราณเก่าแก่ คำว่า “พระประแดง” ว่ากันว่ามาจากภาษาขอมว่า “บาแดง” หมายถึงคนเดินหมาย คนส่งข่าว จึงเป็นเมืองที่มีหน้าที่เฝ้าปากน้ำสายสำคัญนี้ ซึ่งสมัยก่อนเรียกกันว่า “ปากน้ำพระประแดง” แล้วส่งข่าวความเคลื่อนไหวไปยังเมืองลพบุรี ปัจจุบันยังมีสิ่งที่ตกทอดมาจากขอมอีกอย่าง ก็คือ “คลองสำโรง” ที่ขุดจากตำบลสำโรงไปจังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นชื่อขอมอีกเหมือนกันทั้งคลองและจังหวัด เชื่อมแม่น้ำเจ้าพระยากับแม่น้ำบางปะกง ขุดมาตั้งแต่สมัยขอมครอบครองเช่นกัน เพื่อใช้เดินทางไปถึงทะเลสาบเขมรที่เสียมราฐ
ต่อมาในปี ๒๐๔๑ สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา มีการขุดลอกคลองสำโรง ได้พบเทวรูปขอมในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ๒ องค์หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีอักขระจารึกชื่อไว้ว่า “พระยาแสนตา” องค์หนึ่ง กับ “บาทสังขกร” อีกองค์หนึ่ง โปรดให้สร้างศาลประดิษฐานไว้ที่ริมแม่น้ำปากคลองสำโรง แต่เมื่อครั้งพระยาละแวกยกทัพเรือจะมาปล้นกรุงศรีอยุธยา เมื่อปล้นไม่ได้เลยถือโอกาสขนเอาเทวรูป ๒ องค์นี้ไป
เมืองพระประแดงเดิมนั้นตั้งอยู่บริเวณที่เป็นท่าเรือคลองเตยในปัจจุบัน ตอนนั้นปากแม่น้ำเจ้าพระยาอยุ่แถวพระโขนงนี่เอง ไม่ได้อยู่ที่เมืองสมุทรปราการเหมือนเดี๋ยวนี้ วัดหน้าพระธาตุ ศูนย์กลางของเมืองพระประแดงก็อยู่ในบริเวณที่เป็นท่าเรือคลองเตย แต่เมื่อจะสร้างท่าเรือในปี ๒๔๗๘ จึงได้รื้อวัดในบริเวณนี้ออกทั้งหมด และสร้างวัดใหม่ทดแทนให้ ก็คือ วัดธาตุทองในปัจจุบัน
ตอนที่สร้างท่าเรือคลองเตย ไม่ได้รื้อเมืองพระประแดง รื้อแต่วัดประจำเมือง ก็เพราะเมืองพระประแดงได้ย้ายไปก่อนแล้ว เนื่องจากแผ่นดินปากแม่น้ำเจ้าพระยางอกออกไปเรื่อยๆ เมืองพระประแดงมีหน้าที่เฝ้าปากแม่น้ำ จึงต้องย้ายตามออกไปอยู่ที่ตำบลราษฎร์บูรณะ ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาเช่นเดียวกัน แถววัดบางนางเกรงในปัจจุบัน แต่ไม่เหลือร่องรอยในวันนี้ เพราะตอนที่พระเจ้าตากสินสร้างกรุงธนบุรี ได้รื้ออิฐกำแพงเมืองพระประแดงแห่งนี้ ที่ถูกทิ้งร้างมาตั้งแต่ปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา ไปสร้างราชธานีใหม่
ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดให้สร้างเมืองหน้าด่านปากแม่น้ำแห่งใหม่ขึ้นที่บริเวณลัดโพธิ์ ทรงเห็นว่าเป็นทำเลเหมาะสำหรับเฝ้าระวังปากแม่น้ำเจ้าพระยาที่งอกออกไปอีก มีหน้าที่เช่นเดียวกับเมืองพระประแดง แต่เมื่อลงมือสร้างป้อมปราการก็เสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยจึงทรงดำเนินการต่อ สร้างป้อมปืนขึ้นทั้งสองฝั่งเจ้าพระยา พระราชทานนามว่า “นครเขื่อนขันธ์” โปรดเกล้าให้ สมิงทอมา บุตรเจ้าพระยามหาโยธา (เจ่ง) เป็นเจ้าเมือง มีตำแหน่งเป็น “พระยานครเขื่อนขันธ์รามัญชาติเสนาบดีศรีสิทธิสงคราม” นำชาวมอญที่ติดตามพระยาเจ่ง อดีตเจ้าเมืองมอญ ที่พาผู้คนนับหมื่นเข้ามาสวามิภักดิ์ในสมัยพระเจ้าตากสิน และได้รับพระราชทานที่อยู่อาศัยแถวปากเกล็ด สามโคก จนถึงปทุมธานี ย้ายบางส่วนมาอยู่นครเขื่อนขันธ์ โดยมีพิธีฝังเสาหลักเมืองเมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๓๕๘
เสาหลักเมืองของเมืองนครเขื่อนขันธ์ มีการอัญเชิญพระพิฆเนศสลักด้วยหินองค์ใหญ่มาตั้งทับบนยอดของเสาหลักเมือง เพื่อเป็นเคล็ดในการปกปักษ์รักษาเมือง มีการวิเคราะห์กันว่า การที่พระยานครเขื่อนขันธ์ คือ สมิงทอมา ทำยอดเสาหลักเมืองเป็นพระพิฆเนศ หรือช้างนั้น ก็เพื่อเป็นที่ระลึกถึงบิดา คือ พระยาเจ่ง ซึ่งแปลว่าช้าง ซึ่งต่อมาบรรดาลูกหลานที่สืบจากเจ้าพระยามหาโยธา (เจ่ง) ก็ได้รับพระราชทานนามสกุลในสมัยรัชกาลที่ ๖ ว่า “คชเสนี” ลูกหลานของพระยาเจ่งยังคงรับตำแหน่งเจ้าเมืองนครเขื่อนขันธ์มาหลายชั่วคน และชาวมอญที่อพยพเข้ามาในภายหลัง ก็ไปเพิ่มจำนวนที่นครเขื่อนขันธ์ขึ้นเรื่อยๆ ในปี ๒๔๕๘ เมื่อนครเขื่อนขันธ์มีอายุได้ ๑๐๐ ปีพอดี พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริว่า เมืองพระประแดงที่เป็นเมืองโบราณ ทำหน้าที่เฝ้าระวังปากน้ำด้านนี้มาเป็นเวลานาน ไม่ควรจะให้สูญหายไป แม้นครเขื่อนขันธ์จะไม่ได้สร้างบนพื้นที่เดิมของเมืองพระประแดง แต่ก็ทำหน้าที่เหมือนเมืองพระประแดง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เปลี่ยนชื่อเมือง นครเขื่อนขันธ์ เป็น...
Read moreสักการะเจ้าพ่อหลักเมืองพระประแดง
เสาหลักเมืองแห่งเดียวในประเทศไทยที่หัวเสาเป็นองค์พิฆเนศเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย ประวัติความเป็นมา ศาลหลักเมืองของอำเภอพระประแดง มีขึ้นตั้งแต่ครั้งที่ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดเกล้าให้สร้างเมืองนครเขื่อนขันธ์ โดยสร้างเป็นศาลประจำเมือง พร้อมทั้งกระทำพิธีฝังอาถรรพ์เสาหลักเมือง ตามโบราณราชประเพณี เมื่อวันศุกร์ แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๗ ปีกุล ตรงกับ วันศุกร์ที่ ๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๓๕๘ และอัญเชิญองค์พระพิฆเนศมาประดิษฐานบนยอดเสาหลักเมือง (มีเรื่องเล่าอีกอย่างว่า เนื่องจากเจ้าเมืองนครเขื่อนขันธ์ในขณะนั้นเป็นชาวมอญนามว่า “เจ่ง” ซึ่งแปลว่า “ช้าง” รัชกาลที่๒ จึงได้พระราชทาน พิฆเนศ มาประดิษฐานเป็นหัวเสาหลักเมือง) พิฆเนศหินทรายองค์นี้คาดว่าจะสร้างในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒ ดังนั้น พิฆเนศองค์นี้จะมีอายุการสร้างเก่าแก่ถึงพันกว่าปี ปัจจุบันศาลประจำเมือง หรือศาลหลักเมืองแห่งนี้ อยู่ติดกับที่ว่าการอำเภอ พระประแดง ภายในมีรูปพระพิฆเนศซึ่งแกะสลักจากหินทราย ( เป็นส่วนของหัวเสาหลักเมือง คนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่ามีเฉพาะองค์พิฆเนศ ที่จริงแล้วตัวเสาอยู่ด้านล่าง เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีรูปเหมือนเทวดานพเคราะห์ทั้งเก้าตั้งอยู่โดยรอบเสา สามารถดูได้โดยการเปิดประตูด้านขวามือลงไปทางใต้ถุนของศาล ) องค์พิฆเนศเจ้าพ่อหลักเมืองพระประแดง เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองนครเขื่อนขันธ์( พระประแดง ) เป็นที่สักการะของประชาชนทั่วไป และการที่คนจีนได้เข้ามาดูแลศาลหลักเมืองแห่งนี้ สภาพสิ่งก่อสร้างและบรรยากาศของศาลหลักเมืองจึงเป็นแบบศาลเจ้าจีน ไม่เหลือเค้าโครงเดิมอยู่เลย ด้านบนของศาลยังเป็นที่ประดิษฐานของ หลวงพ่อโสธรจำลอง องค์เจ้าแม่กวนอิมและองค์เทพต่างๆมากมายให้กราบไหว้บูชา เรื่องน่าอัศจรรย์ ในช่วงเวลาระหว่างประกอบพิธีฝังหลักเมืองพระประแดงนั้นได้มีจระเข้ ๕ ตัว (พ่อแม่ลูก) ว่ายทวนแม่น้ำเจ้าพระยามายังบริเวณปริมณฑลพิธี แล้วขาดใจตายริมฝั่งแม่น้ำนั้น ชาวบ้านทั้งหลายที่เห็นเหตุการณ์นี้จึงเชื่อว่า "จระเข้ทั้ง ๕ ตัว" ยอมถวายชีวิตเพื่อบูชาหลักเมืองแห่งนี้ จึงได้ทำการตัดหัวจระเข้แล้วนำขึ้นมาตั้งไว้บนศาลหลักเมืองพระประแดง ซึ่งผู้ที่มากราบสักการะเจ้าพ่อหลักเมืองพระประแดงจะมาปิดทองบูชาบนหัวจระเข้ทั้ง ๕ หัวนั้น ปัจจุบันหัวจระเข้ก็ยังปรากฏอยู่ให้เห็นเป็นหลักฐาน มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ขององค์เจ้าพ่อศาลหลักเมือง ช่วยให้ชาวพระประแดงรอดพ้นจากภัยของสงครามโลก เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามเหล่าทหารญี่ปุ่นได้มาหลบพักอาศัยในบริเวณท่าน้ำพระประแดง ทหารฝรั่งเศสจะนำระเบิดมาทิ้งบอมบ์ในบริเวณจุดที่ทหารญี่ปุ่นมาพักหลบอยู่ แต่ด้วยเนื่องจากคนในละแวกนั้นได้ไปไหว้ขอพรจากองค์เจ้าพ่อศาลหลักเมือง ให้เมืองแห่งนี้รอดพ้นจากระเบิดในครั้งนั้น และมีเรื่องเล่าว่าองค์เจ้าพ่อหลักเมืองท่านได้ปัดระเบิดของทางฝรั่งเศสที่ทิ้งลงมาให้ไปตกลงในจุดที่เป็นป่าไผ่ (บริเวณวัดกลาง) ซึ่งอยู่ห่างออกไปแทน จึงทำให้เชื่อว่าเกิดจากความศักดิ์สิทธิ์ขององค์เจ้าพ่อหลักเมืองนั่นเอง ด้วยความศักดิ์สิทธิ์และประสพการณ์ของวัตถุมงคลองค์พิฆเนศเจ้าพ่อหลักเมืองพระประแดงจึงทำให้ผู้ที่ศรัทธาและนักนิยมสะสมพระเครื่องต่างปรารถนาจะมีไว้ครอบครอง จึงทำให้วัตถุมงคลที่จัดสร้างโดยศาลแห่งนี้มีค่านิยมค่อนข้างสูง ปัจจุบัน ศาลหลักเมืองพระพิฆเนศ เป็นศูนย์รวมความศรัทธาของพี่น้องชาวพระประแดง และประชาชนจากทั่วทุกสารทิศ ที่เดินทางมากราบไหว้ขอพร...
Read moreSan Chao Pho Lak Mueang Phra Pradaeng is a truly unique and culturally rich site — the oldest Geisha shrine in Thailand and the only city pillar shrine dedicated to a Geisha. The shrine is beautifully maintained, with ample parking and a steady stream of visitors coming to pay their respects.
Offerings range from flowers to food, and the Geisha statue itself is covered in gold leaf applied by devotees, creating a striking and sacred atmosphere. Despite the number of visitors, the space feels peaceful and respectful.
It’s a wonderful place to visit if you're interested in spiritual sites, local traditions, or simply want to experience something rare and meaningful. A must-see if you're in the Phra...
Read more