Wat Mahathat Worawihan, also known as Wat Phra Si Rattana Mahathat or Wat Na Phra That, stands as a testament to the rich history and cultural significance of Ratchaburi, Thailand. Situated on Khao Ngu Road in the Na Mueang Subdistrict of Ratchaburi city, this ancient temple holds a prominent place on the west side of the Mae Klong River.
Believed to have been originally constructed during the Dvaravati period, around the 15th and 16th centuries, it flourished during the reign of King Jayavarman VII of Khmer. Evidence of Khmer artistry can be seen in the castle built during this period, which served as the city’s center according to Khmer beliefs. However, subsequent collapses led to the construction of a new prang in the early Ayutthaya period, around the 20th and 21st Buddhist centuries.
Today, Wat Mahathat Worawihan boasts a royal hall housing the Phra Mongkol Buri, a stucco Buddha image dating back to the early Ayutthaya period. The image, with its distinctive Sukhothai face and short legs, is revered for its artistic significance. Another notable feature is a Buddha image facing west, symbolizing protection against future disasters, in accordance with Ayutthaya beliefs.
The temple’s main prang, made of laterite and standing 12 wa high, is adorned with murals depicting religious and historical scenes. Additionally, Wat Mahathat Worawihan serves as a repository for relics of the Buddha, housed within structures such as the Viharn Rai, vow water stand, glass wall, and mandapa.
With its rich history, architectural marvels, and spiritual significance, Wat Mahathat Worawihan remains a cherished destination for locals and visitors alike, offering a glimpse into Thailand’s cultural heritage and...
Read moreท่องเที่ยวไทย ไปกับเต้ง(สเตฟาน) ถ้าได้มาจังหวัดราชบุรี อีกหนึ่งสถานที่ที่อยากแนะนำ ก็คือ วัดมหาธาตุวรวิหาร เป็นวัดที่มีความสำคัญอีกวัดหนึ่งในจังหวัดราชุรี วัดมหาธาตุวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร สร้างตั้งแต่สมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แห่งเขมร อายุราวพุทธศตวรรษที่ 18 ถนนเขางู ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี ตั้งอยู่เกือบใจกลางเมืองราชบุรี ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำแม่กลอง เดิมเรียกว่า "วัดหน้าพระธาตุ" "วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ" มีพระปรางค์ก่อด้วยศิลาแลงสูง 12 วา ภายในมีจิตรกรรมฝาผนังที่พระปรางค์ เป็นวัดที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ปัจจุบันมีพระธรรมปัญญาภรณ์ (ไพบูลย์ ชินวํโส ป.ธ.๗) ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 15 เป็นเจ้าอาวาส ประวัติ แรกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่ 13 ต่อมาในราวพุทธศตวรรษที่ 18 วัฒนธรรมเขมรจากราชอาณาจักรกัมพูชาได้แพร่เข้าสู่ดินแดนราชบุรี จึงได้มีการก่อสร้างและดัดแปลงศาสนสถานกลางเมืองราชบุรีขึ้นเป็นพระปรางค์ และสร้างกำแพงศิลาแลงล้อมรอบเพื่อให้เป็นศูนย์กลางของเมืองตามคติความเชื่อเรื่องภูมิจักรวาลของเขมร ต่อมาในสมัยอยุธยาตอนต้น ราวพุทธศตวรรษที่ 20 – 21 ได้มีการก่อสร้างพระปรางค์แบบอยุธยาขึ้งซ้อนทับและสร้างพระปรางค์บริวารขึ้นอีก 3 องค์บนฐานเดียวกัน ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายเมืองราชบุรีจากฝั่งตะวันตกมายังฝั่งตะวันออก ประชาชนก็ย้ายตามความเจริญไปด้วย วัดมหาธาตุจึงกลายเป็นวัดร้างไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ใน พ.ศ. 2338 พระภิกษุองค์หนึ่งชื่อพระบุญมา ได้ธุดงค์มาเห็นวัดนี้มีสถานที่ร่มรื่น เหมาะสำหรับการปฏิบัติธรรมจึงได้ขอความร่วมมือจากพุทธศาสนิกชนช่วยกันปัดกวาดซ่อมแซมเสนาสนะต่างๆ ในที่สุด วัดมหาธาตุจึงกลับมาเป็นศูนย์กลางของศาสนาเช่นเดิม และยังคงเป็นมาจนถึงปัจจุบัน ปฏิมากรรมที่สำคัญ พระปรางค์ประธาน เป็นสถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 18 และได้รับการซ่อมแซมเพิ่มเติมในสมัยอยุธยาตอนต้นตรงส่วนที่เป็นซุ้มด้านตะวันออก และภาพจิตรกรรมภายใน ประกอบด้วยพระปรางค์ประธานและพระปรางค์บริวาร 3 องค์บนฐานเดียวกันมีการตกแต่งองค์พระปรางค์ทั้งหมดด้วยลวดลายปูนปั้นอย่างงดงาน ด้านตะวันออกของพระปรางค์ประธานมีบันไดและขึ้นมุขยื่น ภายในเป็นคูหาเชื่อมต่อกับพระปรางค์ ผนังภายในองค์พระปรางค์ทุกด้านมีภาพจิตรกรรมรูปพระอดีตพุทะเจ้า สันนิษฐานว่าเขียนขึ้นในสมัยเดียวกันกับการสร้างองค์พระปรางค์ พระวิหารหลวง อยู่ด้านหน้าพระปรางค์ภายนอกระเบียงคด เป็นซากอาคารในแผนผังสี่เหลี่ยมผืนผ้า ฐานด้านล่างสุดก่อด้วยศิลาแลง ด้านหน้ามีมุขยื่น บนพระวิหารเคยมีเจดีย์ขนาดเล็กตั้งอยู่ แต่พังทลายลงหมด บนฐานวิหารมีอาคารไม้โล่ง หลังคาเครื่องไม่มุงสังกะสี อาคารหลังนี้กล่าวกันว่า นายหยินบิดาของขุนสิทธิสุวรรณพงศ์ อดีตนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองราชบุรีเป็นผู้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2454 พระวิหารนี้เคยเป็นที่ตั้งโรงเรียนพระอภิธรรมราชบุรี ภายในอาคารพระวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นแกนหินทรายขนาดใหญ่แสดงปางมารวิชัย 2 องค์ ประทับนั่งหันพระปฤษฎางค์ชนกัน พุทธศิลปะแบบอยุยาตอนต้น ด้านข้างทั้งสองและด้านหน้าของพระวิหารที่มุมด้านตะวันออกแยงเหนือและด้านตะวันออกเฉียงใต้ มีวิหารขนาดเล็ก ประดิษฐานพระพุทธรูปหินทรายสีแดงปางมารวิชัยประทับนั่งหันพระปฤษฎางค์ชนกันคล้ายกับพระพุทธรูปบนพระวิหารหลวง พระอุโบสถ สันนิษฐานจากลักษณะทางสถาปัตยกรรมว่าสร้างขึ้นตอนปลายสมัยอยุธยาราวพุทธศตวรรษที่ 22 ซ่อมแซมครั้งล่าสุดเมื่อ พ.ศ. 2509 เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน หลังคาลด 2 ชั้น 3 ตับ เป็นเครื่องไม้มุงกระเบื้อง ด้านหน้าและด้านหลังทำพาไลยื่นรองรับโครงหลังคาด้วยเสาปูนจำนวน 3 ตับ ด้านข้างมีชายคาปีกนกโดยรอบ ฐานอาคารมีลักษณะศิลปะสถาปัตยกรรมแบบอยุธยาตอนปลาย คือแอ่นโค้งคล้ายท้องเรือสำเภาหรือที่เรียกว่าแอ่นท้องช้าง ซุ้มประตูหน้าต่างปั้นปูนประดับกระจกเป็นซุ้มหน้านาง ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยประทับนั่งบนฐานดอกบัว...
Read more#วัดพระธาตุวรวิหาร ราชบุรี หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า วัดหน้าพระธาตุ หรือ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เป็นวัดเก่าแก่ ตั้งอยู่ถนนเขางู ตำบลหน้าเมือง ในเขตเทศบาลเมืองราชบุรี วัดนี้สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่ 15-16
น่าจะเรียกได้ว่าที่นี่คือโบราณสถานที่พาคุณย้อนเวลากลับไปสู่ยุคทวาวรดีซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการสันนิษฐานว่า วัดแห่งนี้ได้ถูกสร้างขึ้น ราวพุทธศตวรรษที่ 15-16 ไล่เลี่ยกับการสร้างเมืองราชบุรีเก่า และต่อมาได้มีการสร้างปราสาทศิลปะเขมรซ้อนทับเข้าไปราวพุทธศตวรรษที่ 18 เพื่อสร้างที่นี่ให้เป็นศูนย์กลางของเมืองตามความเชื่อ เรื่องคติจักรวาลของเขมร จากนั้นปราสาทที่สร้างคงเกิดการพังทลายลงและได้มีการสร้างปรางค์ใหม่ในสมัยต้นอยุธยา ราวพุทธศตวรรษที่ 20-21 ดังที่เห็นในปัจจุบัน สิ่งที่น่าชมภายในวัด ได้แก่ - วิหารหลวง อันเป็นที่ประดิษฐานพระมงคลบุรี พระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยขนาดหน้าตักกว้าง 8 ศอก 1 คืบ ศิลปะสมัยอยุธยาตอนต้น มีพระพักตร์สุโขทัยพระองค์ยาวพระชาณุสั้น (ตัวยาวเข่าสั้น) หันหน้าสู่ทิศตะวันออก ด้านหลังสร้างพระหันหลังให้กันอีกองค์หนึ่งหันหน้าสู่ทิศตะวันตกซึ่งหมายความถึงอาราธนาให้ช่วยระวังภัยพิบัติหน้าหลัง เรียกพระรักษาเมือง ตามความเชื่อของคนสมัยอยุธยา - องค์พระปรางค์มีความสูง 24 เมตร ปรางค์ประธานและปรางค์บริวารทิศใต้ทิศตะวันตกทิศเหนือตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน ส่วนปรางค์ทางทิศตะวันออกมีมุขยื่นออกมามีบันไดขึ้นฐานเรือนธาตุและส่วนยอดประดับด้วยลายปูนปั้น ภายในองค์ปรางค์ประธานมีคูหาเชื่อมถึงกันผนังส่วนบนเขียนภาพอดีตพระพุทธเจ้าในซุ้มเรือนแก้วเป็นแถวเรียงต่อกัน ตอนล่างเป็นพุทธประวัติสันนิษฐานว่าเขียนพร้อมกับการสร้างองค์ปรางค์และซ่อมแซมพร้อมกับองค์ปรางค์ในเวลาต่อมาราวพุทธศตวรรษที่ 22 วิหารคตรอบลานพระปรางค์มีพระพุทธรูปศิลาสมัยทวารวดีสมัยลพบุรีและสมัยอยุธยาประดิษฐานอยู่โดยรอบด้านหน้าพระปรางค์มีอาคารประดิษฐานพระพุทธรูปไสยาสน์เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นที่สร้างขึ้นในสมัยอยุธยามีความยาว 127 คืบ 9 นิ้ว - พระอุโบสถสันนิษฐานจากลักษณะทางสถาปัตยกรรมว่า น่าจะก่อสร้างขึ้นตอนปลายสมัยอยุธยาราวพุทธศตวรรษที่ 22 และได้ซ่อมแซมครั้งล่าสุดเมื่อ พ.ศ.2509 เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนหลังคาลด 2 ชั้น 3 ตับ เป็นเครื่องไม้มุงกระเบื้องด้านหน้าและด้านหลังทำพาไลยื่นรองรับโครงหลังคาด้วยเสาปูนจำนวน 3 ตับ ด้านข้างมีชายคาปีกนกโดยรอบฐานอาคารมีลักษณะศิลปะสถาปัตยกรรมแบบอยุธยาตอนปลายคือแอ่นโค้งคล้ายท้องเรือสำเภาหรือที่เรียกว่าแอ่นท้องช้าง ซุ้มประตูหน้าต่างปั้นปูนประดับกระจกเป็นซุ้มหน้านางภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยประทับนั่งบนฐานดอกบัว...
Read more