When I first saw the picture, I couldn't believe my eyes. It looked like something out of a movie, too perfect to be real. A stunning white palace surrounded by beautiful mountains and a breathtaking sky. But when I actually went there, I was blown away. The architecture was incredible, with so many intricate details to admire. Inside, it held 18 sacred relics, adding to the powerful energy of the place. The café area is also a great spot to take photos. The view of the mountains is absolutely breathtaking. I heard that the place is part of a conservation forest, which is pretty cool. The café serves delicious local dishes and drinks. After snapping some pictures and enjoying a tasty meal, you can relax with your family or even meditate in a special room. If you plan to visit, I recommend getting your ticket as the first spot. That way, you won't have to wait too long to get in and fully appreciate the exhibition. They even provide audio guides in maney different languages, so international visitors won't miss out. Trust me, it's a fantastic experience that you don't want to...
Read more8/7/66 เดินทางจากปทุม จะไปโคราช จึงหาที่เที่ยวเพื่อแวะพักแถวสระบุรี เจอใน internet แนะนำที่นี่ จึงขับเข้าไปดู
ทางเข้าจากถนนหมายเลข 2 สภาพพอได้ ทางแคบหน่อยแต่พอจะสวนกันได้ เลี้ยวไปเลี้ยวมาตามที่ GPS บอก สักพักก็ถึง ที่จอดรถมีให้มากมาย จอดตามสบาย
เดินไปถ่ายรูปภายนอก หอมนสิการ ก่อนเลย หลังจากนั้นก็เดินหาห้องน้ำ เดินผ่านอาคารที่อยู่ใกล้หอ มีเจ้าหน้าที่เปิดประตูออกมาเชื้อเชิญให้เข้าไปนั่งพักทานกาแฟ เข้าไปแล้วจึงรู้ว่าต้องซื้อบัตรเข้าหอที่นี่เอง คนละ 30 บาท เจ้าหน้าที่บอกว่าใช้เวลาชมประมาณ 20 นาที จ่ายเงินเสร็จก็นั่งรอคิว เขาจะเรียกให้เข้าชมภายในหอประมาณรอบละห้าหกคน
เข้าห้องน้ำในอาคารนี้และนั่งรอสักพักก็ได้คิวเข้าชมหอ ทางเข้ามีเจ้าหน้าที่อธิบายว่าในหอมีอะไร ทำอะไรได้ ไม่ได้ แล้วแจกหูฟังและเครื่องเล่นเสียงบรรยาย ซึ่งเจ้าหน้าที่จะช่วยเปิดให้ทีละคนก่อนจะเข้าไปชมส่วนแรก
ภายในส่วนแรกจะกั้นเป็นพื้นที่เล็ก ๆ ซึ่งเจ้าหน้าที่เรียกว่าห้อง แต่ก็ไม่ได้กั้นเป็นส่วน ๆ แต่เป็นพื้นที่ติด ๆ กันไป ประมาณ 6 ช่วง แต่ละช่วงหรือห้อง มีรูปภาพของพระพุทธเจ้าตั้งแต่ยังเป็นเจ้าชายไปจนถึงบรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยได้ฟังคำบรรยายจากหูฟังไปเรื่อย ๆ รูปภาพมีความสวยงามมาก ในส่วนแรกนี้เจ้าหน้าที่แจ้งว่า "ห้ามถ่ายภาพ" ครับ
ผ่านส่วนแรกไปจะเป็นด้านท้ายหอ เป็นโถงสีแดง มีพระบรมสารีริกธาตุ และรูปปักเป็นหน้าพระพุทธเจ้าให้เรากราบไหว้ ตรงส่วนนี้ถ่ายรูปได้ครับ
กราบเสร็จก็เดินย้อนกลับไปหน้าหอผ่านทางเดินอีกด้านหนึ่ง ลักษณะเหมือนส่วนแรก แต่เป็นการบรรยายในเรื่องพุทธศาสนาด้านอื่น ๆ เช่น มรนานุสติ ชมเสร็จ ก็มาโผล่ที่หน้าหอที่จุดเดิม คืนหูฟังให้เจ้าหน้าที่ เป็นอันจบการชม เดินไปดูส่วนอื่นต่อ
เจ้าหน้าที่แนะนำให้ไปชมห้องวีดีทัศน์ ซึ่งอยู่เลยไปด้านหลัง จึงเดินไปดู ภายใน จะมีห้องคล้ายโรงหนัง มีเก้าอี้ยาวให้นั่งดูวีดีโอจอยักษ์ แสดงเรื่องการ "ปกป้อง" การนำภาพพระพุทธเจ้าไปใช้แบบลบหลู่ โดยรู้เท่าไม่ถึงการ เช่น สักหน้าพระพุทธเจ้าที่ขา เป็นต้น และให้ลองนั่งสมาธิประมาณ 2 นาที ชมจบแล้ว เจ้าหน้าที่แจ้งว่าถ้าสนใจ สามารถเข้าไปอีกห้องหนึ่งเพื่อนั่งสมาธิยาว ๆ ได้ โดยจะมีผู้เชี่ยวชาญคอยแนะนำให้ แต่พอดีต้องไปต่อ จึงไม่มีเวลาได้ลอง
เดินออกมา ตอนนั้นสิบเอ็ดโมงกว่าแล้ว เลยว่าจะหาของกินก่อนเดินทางต่อ หันไปเจอป้าย snack จึงเดินไปดู เป็นลานมุงหลังคา ภายในมีเก้าอี้ผ้าใบวางเรียงราย พร้อมพัดลมเพดาน สามารถนอนเล่น หรือจะนอนจริง ๆ ก็ได้ มีตู้หนังสือให้หยิบนอนอ่านได้ ด้านหนึ่งจะมีชั้นวางขนมขบเคี้ยวและตู้แช่ มีนม น้ำ ขาย ราคาสูงหน่อยแต่ก็โอเคถือว่าทำบุญ ตรงนี้ไม่มีเจ้าหน้าที่เฝ้า มีป้ายบอกราคาและโถให้เราจ่ายเงินเอง หยิบนมกินคนละขวดกับภรรยา หย่อนเงินใส่โถแล้วก็ออกมา เดินต่อ อ่อ! ลืมบอก ตรงทางเข้ามีลานให้เด็ก ๆ นั่งเล่นของเล่นด้วย
เดินผ่านซุ้มขายของ ที่ระลึกและของใช้ผู้ที่มานั่งสมาธิ บริเวณนั้นมีห้องน้ำให้เข้าด้วย เลยห้องน้ำไป เห็นเขากำลังทำอะไรบนกระทะดังเก๊ง ๆ เลยเดินไปดู เป็นหอยทอด และมีกระพาะปลา ขนมจีนขายด้วย จึงสั่งหอยทอด กับ กระเพาะปลามากินคนละจาน หอยทอดเค็มไปหน่อย ส่วนกระเพาะปลาภรรยาบอกว่าใช้ได้
กินเสร็จก็เดินดูขนม มีกล้วยทอด กล้วยข้าวเม่า ขนมกง และอีกหลาย ๆ อย่าง ซื้อเสร็จก็เดินมาขึ้นรถ...
Read moreหอมนสิการ ขนาดไม่ใหญ่แต่จัดนิทรรศการได้ดีมาก ด้านในแบ่งเป็น ๓ โซน อดีต หอพระ ปัจจุบัน
อดีต: เล่าถึงประวัติพระพุทธเจ้า หอพระ: มีพระพุทธรูป ด้านข้างมีพระบรมสารีริกธาตุ และภาพปักที่มีฝีเข็ม ๖๕๑,๐๐๐ ฝีเข็ม ใช้เวลาปัก ๘ เดือน ทุกการลงฝีเข็มภาวนาว่า “นิพพาน” ปัจจุบัน: เล่าถึงความจริงๆ ต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าสอน
ค่าเข้าชมคนละ ๓๐ บาท
ความเป็นมา
โครงการ “หอมนสิการ” เกิดขึ้นตามดำริของอาจารย์อัจฉราวดี วงศ์สกล ประธานมูลนิธิโนอิ้ง บุดด้า เพื่อการปกป้องพระพุทธศาสนา เพื่อการสืบสานธรรม ปกป้องพระเกียรติพระบรมศาสดาและปลุกจิตสำนึกที่ดีงามให้แก่ปวงชน
ภายในหอมนสิการเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปพระบรมโลกนาถ พระบรมสารีริกธาตุ ภาพปักพระบรมโลกนาถและนิทรรศการร่วมสมัย จำลองมรรคาและคำสอนของพระบรมศาสดา
กว่าจะมาเป็นหอมนสิการแบบที่ทุกท่านได้เห็นนั้น ได้ผ่านการออกแบบ ก่อสร้าง ตกแต่งและจัดทำนิทรรศการภายในซึ่งใช้เวลารวมทั้งหมด 5 ปี กว่าจะเสร็จสมบูรณ์ หอมนสิการมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา
หอมนสิการมีฉากหลังเป็นทัศนียภาพที่งดงามมากตระการตา อาคารหลัก หอมนสิการ มีความกว้าง 9.50 เมตร ความยาวรวมทั้งสิ้น 42.75 เมตร และมีความสูง 25 เมตร มีนิทรรศการจำลองเส้นทางเดินของพระพุทธเจ้าในรูปแบบนิทรรศงานร่วมสมัย ที่จะดึงผู้เข้าชมให้เหมือนย้อนเวลาไปที่อินเดีย เมื่อ 2,500 ปีก่อน และเป็นหอประดิษฐานพระบรมโลกนาถพระพุทธรูปองค์สีทอง ขนาดหน้าตัก 30 นิ้ว ตลอดจนพระบรมสารีริกธาตุที่เสด็จมาต่างวาระ 18 พระองค์ และภาพปักพระบรมโลกนาถ อาคารหลังที่ 2 เป็นอาคารนิทรรศการ Spiritual life และ อาคารสอนและปฏิบัติสมาธิ งานทุกส่วนของมนสิการมีสองภาษากำกับ รองรับทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ ประสบการณ์ในการเยี่ยมชมจะนำมาสู่การไตร่ตรองอย่างแยบคายในหลักการดำเนินชีวิตอย่างมีศีลธรรม การไตร่ตรองโดยแยบคาย คือ คำแปลของคำว่า “มนสิการ”
ทำในรูปแบบนิทรรศการร่วมสมัย ที่จะปลุกจิตสำนึกในธรรมผ่านการจัดแสดงแบบ Interactive อันเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ด้วยงานศิลปะร่วมสมัย ภาพ แสง สี เสียงบรรยาย และวิดีโอสื่อผสมระดับภาพยนตร์ ให้ได้ซึมซับผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 นำพาผู้เข้าชมย้อนสู่ครั้งพุทธกาล บอกเล่าเรื่องราวของเจ้าชายสิทธัตถะ ที่ทรงกำเนิดมาอย่างสมบูรณ์พร้อม แต่กลับปรารถนาค้นหาหนทางแห่งการพ้น จากความทุกข์ ทรงมีความพากเพียรและความเสียสละอย่างยิ่งยวด กว่าจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
ผ้าไหมสีแดงบุผนังภายในหอจัตุรัส
หอจัตุรัส เป็นหอประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ พระพุทธรูป และ ภาพปักพระบรมโลกนาถ ซึ่งผนังภายในบุด้วย ผ้าไหม สีแดง เป็นผ้าไหมแท้ทอโดยบริษัท Antico Setificio Fiorentino จากเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1786 (พ.ศ. 2329) หรือกว่า 230 ปีมาแล้ว ทั้งยังเป็นบริษัทที่ทอผ้าไหมให้พระราชวังเครมลิน และหอศิลป์อุฟฟีซี (UFFIZI) ส่วนที่เป็นสีทองอร่ามเป็นการติดด้วยแผ่นทอง...
Read more