รีวิวย้อนหลัง เคยมากราบสรีระสังขารหลวงพ่อแพ ส่วนประวัติก็ตามนี้ครับ
หลวงพ่อแพ เขมังกโร ท่านเป็นชาวสิงห์บุรีโดยกำเนิด เกิดเมื่อวันจันทร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ.2448 ที่บ้านสวนกล้วย ต.พิกุลทอง อ.ท่าช้าง โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายเทียน-นางหน่าย ใจมั่นคง มารดาเสียชีวิตตั้งแต่อายุเพียง 8 เดือน บิดาจึงยกให้เป็นบุตรบุญธรรมของ นายบุญ และนางเพียร ขำวิบูลย์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นอา อายุ 11 ปี บิดามารดาบุญธรรมนำ ด.ช.แพ ขำวิบูลย์ ไปฝากที่สำนักอาจารย์ป้อม เพื่อศึกษาเล่าเรียนตามแบบโบราณนิยม และเข้าศึกษาต่อที่สำนักวัดชนะสงคราม กรุงเทพฯ ได้ระยะหนึ่ง ก็กลับบ้านเกิดเพื่อบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดพิกุลทอง โดยมี พระอธิการพัน จันทสโร เจ้าอาวาสวัดพิกุลทอง เป็นพระอุปัชฌาย์ แล้วเดินทางกลับวัดชนะสงครามตามเดิม จนสอบได้เปรียญธรรม 3 ประโยค ตั้งแต่เป็นสามเณร เมื่ออายุครบบวชก็กลับมาอุปสมบทที่วัดพิกุลทองอีก โดยมี พระมงคลทิพย์มุนี เจ้าอาวาสวัดจักรวรรดิราชาวาส กรุงเทพฯ เป็นพระอุปัชฌาย์, ท่านพระครูสิทธิเดช วัดชนะสงคราม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ ท่านเจ้าอธิการอ่อน วัดจำปาทอง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “เขมังกโร” แล้วเดินทางกลับไปจำพรรษาที่วัดชนะสงคราม ศึกษาด้านพระปริยัติธรรมขั้นสูง จนได้เปรียญ 4 ประโยค ได้เป็น “พระมหาแพ” หลังจากนั้นมานัยน์ตาเกิดอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรง การศึกษาด้านพระปริยัติธรรมจึงต้องยุติลง แต่ด้วยความเป็นผู้ใฝ่ศึกษา ท่านจึงหันมาศึกษาด้านสมถกัมมัฎฐานและวิปัสสนากัมมัฎฐานที่สำนักพระครูภาวนา วัดเชตุพนฯ และยังได้เป็นศิษย์รูปหนึ่งของ สมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี) วัดมหาธาตุ ด้วย ต่อมาทราบว่าที่อำเภอบางระจัน มีพระอาจารย์เรืองวิทยาคมและวาจาศักดิ์สิทธิ์นัก ชื่อ หลวงพ่อศรี เจ้าอาวาสวัดพระปรางค์ ท่านจึงเดินทางไปฝากตัวเป็นศิษย์และยังเป็นที่โปรดปรานของพระอาจารย์เป็นอย่างยิ่ง ปี พ.ศ.2473 อาจารย์หยด เจ้าอาวาสวัดพิกุลทอง ลาสิกขาบท ชาวบ้านจึงร่วมกันนิมนต์หลวงพ่อแพให้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสสืบแทนในปี พ.ศ.2474 ท่านจึงเดินทางกลับบ้านเกิดเพื่อปกครองวัดพิกุลทอง โดยขณะนั้นมีอายุเพียง 26 ปีเท่านั้น และวัดพิกุลทองก็ชำรุดทรุดโทรมมาก ท่านจึงไปปรึกษา หลวงพ่อศรี พระอาจารย์ และด้วยบารมีของพระเกจิทั้งสองรูป จึงสามารถบูรณปฏิสังขรณ์ รวมทั้งสร้างถาวรวัตถุภายในวัดพิกุลทองได้ในเวลาอันรวดเร็ว อันได้แก่ พระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ หอสวดมนต์ หอประชุมกุฎิสงฆ์ หอไตร หอฉัน ศาลาวิปัสสนา โรงฟังธรรม และ ฌาปนสถาน เป็นต้น นอกจากนี้ ท่านยังสร้างความเจริญให้ท้องถิ่นอีกมากมายเพื่อเป็นสาธารณประโยชน์ ทั้ง โรงพยาบาล, ที่ว่าการอำเภอ, สถานีตำรวจ, สถานีอนามัย, โรงเรียนประชาบาล, สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ตลอดจนอาคารผู้ป่วยของโรงพยาบาลสิงห์บุรีที่เป็นอนุสรณ์สืบมาจนปัจจุบัน คือ อาคารหลวงพ่อแพ 80 ปี, อาคารหลวงพ่อแพ 86 ปี (อาคารเอ็กซเรย์), อาคารหลวงพ่อแพ 90 ปี และ อาคารหลวงพ่อแพ เขมังกโร ที่โดดเด่นเป็นสง่าภายในโรงพยาบาลสิงห์บุรี หลวงพ่อแพ เป็นที่เคารพศรัทธาของสาธุชนโดยถ้วนหน้า มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ท่านได้รับการแต่งตั้งสมณศักดิ์เรื่อยมา สมณศักดิ์สุดท้ายเป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมมุนี ท่านมรณภาพเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2542 รวมสิริอายุ 94 ปี พรรษา 73 ปัจจุบัน สรีระของหลวงพ่อแพยังคงประดิษฐาน ณ วัดพิกุลทอง...
Read moreวัดพิกุลทอง พระอารามหลวง
ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน้อยฝั่งตะวันออกห่างจากตัวเมืองสิงห์บุรีประมาณ 16 กม.เป็นวัดขนาดใหญ่ริมฝั่งแม่น้ำน้อยที่มีความสำคัญแห่งหนึ่งของสิงห์บุรีชาวบ้านเรียกว่า วัดหลวงพ่อ เนื่องด้วยเป็นวัดจำพรรษาของหลวงพ่อแพ (พระเทพสิงหบุราจารย์) พระเกจิดัง ซึ่งมรณภาพเมื่อพ.ศ.2542 ภายในวัดมี พิพิธภัณฑ์หลวงพ่อแพ จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติและเครื่องอัฐบริขารของหลวงพ่อแพตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน นอกจากนั้นอีกด้านหนึ่งของวัดนี้มีพระพุทธรูปปางประทานพรองค์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย คือ พระพุทธสุวรรณมงคลมหามุนี หรือหลวงพ่อใหญ่ ขนาดหน้าตักกว้าง 11 วา 2 ศอก 7 นิ้ว สูง 21 วา 1 คืบ 3 นิ้ว ภายในเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กประดับด้วยโมเสกทองคำธรรมชาติชนิด 24 เค รอบๆพระวิหารใหญ่มีวิหารคต ซึ่งประดิษฐานพระพุทธรูปปางประจำวันต่าง ๆ และพระสังกัจจายองค์ใหญ่ และบริเวณวัดยังมีสวนธรรมะ และสิ่งก่อสร้างที่สวยงามน่าสนใจ แวดล้อมด้วยบรรยากาศสงบร่มรื่น การเดินทาง จากตัวเมืองสิงห์บุรีใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 3032 ไปทาง อ.ค่ายบางระจัน ผ่านวัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร ไปราว 5 กม. จะมีถนนเลียบคลองชลประทานทางซ้ายมือเลี้ยวเข้าไปตามทาง กระทั่งผ่านวัดวิหารขาว ไปราว 1 กม.ก็จะถึงวัดพิกุลทอง
พระประธานวัดพิกุลทอง เป็นพระพุทธรูปขนาดเล็กประดิษฐานบนฐานที่สูงหลายชั้นเพื่อให้เหมาะกับขนาดของอุโบสถ เราจะเห็นองค์พระประธานเล็กมาก พระพุทธรูปองค์นี้มีพระนามว่า พระพุทธศรีวิริยโสภิต หลวงพ่อสี เกสโร พระอาจารย์ด้านวิทยาคมของหลวงพ่อแพ ได้สร้างถวายแก่หลวงพ่อแพ หุ่นขี้ผึ้งหลวงพ่อแพ อยู่ในพิพิธภัณฑ์มีพวงมาลาพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศ์ ด้านหน้าของอาคารจัดวางเก้าอี้เรียงแถวจำนวนมาก...
Read moreวัดพิกุลทอง สร้างขึ้นเป็นวัดนับตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2434 โดยมี “ ขุนสิทธิ์ สถิตบุตร (เสือ) นายกลับ สถิตบุตร และนายช่วง ” เป็นหัวหน้าดำเนินการก่อสร้างวัดนี้ขึ้น โดยเดิมมีนามว่า “วัดใหม่พิกุลทอง” แต่ชาวบ้านมักเรียกว่า “วัดใหม่” เพราะว่าเป็นวัดสร้างขึ้นใหม่ในเขตนี้ โดยมิได้เป็นวัดร้างมาก่อนต่อมาเมื่อปีพุทธศักราช 2483 จึงได้ขอเปลี่ยนนามวัดเป็น “วัดพิกุลทอง” วัดพิกุลทองได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาครั้งแรก เมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ.2440 และได้รับพระราทานวิสุงคามสีมาครั้งหลัง เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ.2515 เขตวิสุงคามสีมากว้าง 15.59 เมตร ยาว 29.54 เมตร วัดพิกุลทอง มีที่ดินตั้งวัด จำนวน 103 ไร่ 3 งาน 60 ตารางวา และมีธรณีสงฆ์ จำนวน 15 แปลง มีจำนวนพื้นที่ 189 ไร่ 2 งาน 65 ตารางวา พระอุโบสถ กว้าง 15.59 เมตร ยาว 29.54 เมตร โครงสร้างเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กลักษณะเป็นแบบอาคารทรงไทยประยุกต์ ศาลาการเปรียญ สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กปนไม้ เป็นอาคารสองชั้น กว้าง 20.50 เมตร ยาว 37 เมตร ชั้นบนใช้เป็นที่บำเพ็ญกุศล และประกอบพิธีกรรมต่างๆ ชั้นล่างใช้เป็นสถานที่ถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสามเณรในการจัดประชุมต่างๆ พร้อมกับทางหน่วยงานราชการที่มาของสถานที่จัดประชุม สัมมนาอยู่เป็นประจำ กุฏิภิกษุสามเณร จำนวน 33 หลัง เป็นอาคารไม้ชั้นเดียวบ้าง สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กเป็นอาคาร 2 ชั้นบ้าง 3 ชั้นบ้าง นอกจากนี้ยังมีเสนาสนะต่างๆภายในวัด ดังนี้ หอสวดมนต์ วิหาร หอไตร โรงเรียนพระปริยัติธรรม หอเวช ศาลาบำเพ็ญกุศล ฌาปนสถาน ศาลารับรองแขก ที่พักสงฆ์ หอประชุม โรงครัว หอฉัน ศาลาพักร้อน ห้องสมุดประชาชน ศาลประชุมและปฏิบัติธรรม ที่พักสายตรวจ...
Read more