Wat Pa Lelai Worawihara Wat Pa Lelai Worawihara is located on the banks of ThaChin River in Mueng district, Suphanburi Province. The termple has the royal insignia of King Rama IV, which shows that it is a royal termple. According to historical records, before succeeding to the throne, King Rama IV was a monk and it was during that time that he was responsible for founding Wat Pa Lelai Worawihara. After he became the king, King Rama IV had the termple restored to its former glory. From original assumption that this Temple was built in the U-thong period, later when having found the ancient materials enough to support and refer, so it is believed that this Wat Palelai Worawihara is not less than Thawaravadi period of 1, 000 years ago. It could be said that this Temple is invaluable to Suphanburi province and Thailand.
Phra Pa Lelai in wihara is assumed to have been formerly built in the posture of giving the Thammachak Sermon. Buddha 's delivery of this first sermon was like to set of the wheel of Buddhism or Dhamma. A Buddha image called Luang Pho-To is housed in the wihara of the temple. This image is massive reaching a height of 23. 47 meters. The image is a seated image in a posture known as Palilayaka, which is considered to be European style of seating. You can see the seated Buddha image accepting oferings from an elephant and monkey, which is a typical art form of U-Thong Suphannaphum era. The face of the image, built in 826 during the reign of King Suwannaracha. The hand was later changed to lay on the lap in the posture of pa lelai, with the figure, now disappeared, of a monkey lifting a beehive and an elephant lifting a water in offering to the Buddha.
Nowadays WatPalclai Worawihara under the administration and Supervision of the abbot named PhraDham Buddhimongkol, organizes the study of three sections, they are Dhamma, Pali and Hight Education.
Every year, the temple holds 2 festivals to pay hotmage to the huge Buddha image housed...
Read moreWat Pa Lelai Worawihan, also known as Wat Pa Lelai, is a beautiful and historic Buddhist temple located in the Suphan Buri province of Thailand. It is known for its unique architecture and cultural significance, as well as its tranquil and serene surroundings.
The temple dates back to the Ayutthaya period and has undergone several renovations and restorations over the centuries. It is home to several important religious artifacts, including a large and impressive reclining Buddha statue and several ancient pagodas.
One of the most striking features of Wat Pa Lelai Worawihan is its architectural style, which combines elements of traditional Thai and Khmer design. The temple's roof is adorned with intricate carvings and colorful tiles, and its walls are decorated with detailed murals depicting scenes from Buddhist scripture.
Visitors to Wat Pa Lelai Worawihan can also explore the temple's lush gardens and peaceful surroundings, which offer a welcome respite from the hustle and bustle of nearby cities. The temple is easily accessible by car or public transportation, and admission is free.
Overall, Wat Pa Lelai Worawihan is a must-visit destination for anyone interested in Thai history and culture, as well as those seeking a peaceful and contemplative retreat. Its unique architecture and cultural significance make it a fascinating and memorable destination for visitors...
Read moreมากราบพระพุทธรูปหลวงพ่อโตสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมืองสุพรรณบุรี และ กราบสรีระสังขารหลวงพ่อถิร ไปมาวันที่ 3/3/67 ส่วนประวัติท่านมีดังนี้
วัดป่าเลไลยก์ สุพรรณบุรี เป็นหนึ่งในอารามสำคัญ ที่พุทธศาสนิกชน ต่างเดินทางมาทำบุญบุญบูชาสักการะ พระพุทธรูปหลวงพ่อโต พระพุทธรูปคู่บ้านขวัญเมือง นอกเหนือจากการทำบุญต่อกุศลแล้วนั้น วัดแห่งนี้ในอดีต ยังมีตำนานเรื่องราว ของ พระเกจิอาจารย์รูปสำคัญ ที่หลายคน ในแวดวงพระเครื่องให้ความนับถือ นิยมในวัตถุมงคล นักร้องลูกทุ่งมาขอพร และ ชุมโจรแห่งภาคกลางยังเคารพ
เกจิอาจารย์รูปนั้น คือ หลวงพ่อถิร สำหรับ หลวงพ่อถิร นั้น มีสมณศักดิ์ว่า พระวิสุทธิสารเถร เป็นพระเกจิอาจารย์รูปสำคัญของเมืองสุพรรณ และของประเทศไทย ท่านเกิดเมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2445 ณ บ้านพูลหลวง ตำบลพิหารแดง อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นบุตรของพ่อ วาส แม่เพิ่ม “พึ่งเจริญ” ตระกูลผู้ใหญ่ฝ่ายมารดาสืบเชื้อสายมาจากหมื่นเกล้าฯ และยายทวดจัน ซึ่งมีบุตรสาวชื่อยายมี แม่เพิ่มเป็นบุตรของยายมีกับตาสิงห์ ต้นกระกูล “สิงห์สุวรรณ” ส่วนตระกูลข้างเตี่ย (พ่อ) มาจากก๋งผึ้งและย่าอิ่ม เดิมจาก “แซ่ตัง” มาใช้นามสกุลว่า “พึ่งเจริญ” พ่อวาสเป็นบุตรชายของก๋งผึ้งกับย่าอิ่ม
หลวงพ่อถิรบรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ 17 ปี ต่อมาเข้าพิธีอุปสมบทเมื่อ พ.ศ. 2465 ณ วัดหน่อพุทธางกูร โดยมีพระครูโพธาภิรัต (สอน) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูสุวรรณวรคุณ (หลวงพ่อคำ) วัดหน่อพุทธางกูร เป็นพระคู่สวด ได้รับฉายาว่า “ปญฺญาปโชโต”แล้วย้ายไปอยู่จำพรรษาที่วัดสุวรรณภูมิ เพื่อศึกษาพระธรรมวินัย จนสอบได้นักธรรมชั้นเอก เป็นนักเรียนที่สอบนักธรรมชั้นเอกได้เป็นรูปแรกในนามของจังหวัดสุพรรณบุรี ต่อมา หลวงพ่อถิร ได้ย้ายมาจำพรรษาที่วัดป่าเลไลยก์ เมื่ออายุ 38 ปี พรรษา 18 จากบันทึกส่วนตัวของ หลวงพ่อถิร ได้เขียนเล่าไว้ว่า “ข้าพเจ้าได้ทรงรับอนุมัติจากท่านเจ้าประคุณ สมเด็จพระสังฆราช (แพ) วัดสุทัศน์ ให้ย้ายจากวัดสุวรรณภูมิ ไปเป็นผู้รักษาการตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดป่าเลไลยก์ เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2483 พอถึงวันที่ 19 ได้ไปอยู่ ในคืนนั้นได้นิมิตไปว่า ท่านพระครูโพธาริรัต (สอน) เจ้าอาวาสและพระอุปัชฌายะของข้าพเจ้าที่ล่วงไป ได้มาบอกแก่ข้าพเจ้าว่า อยู่ไปเถอะไม่เป็นไร ใครจะทำอะไรไม่ดีก็ช่างเขา แล้วเขาจะพินาศไปเอง”
จากนั้น ในวันที่ 9 กรกฎาคม 2483 หลวงพ่อถิร จึงเป็นผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดป่าเลไลยก์,ผู้รักษาการเจ้าคณะอำเภอเมืองสุพรรณบุรี,และพระอุปัชฌาย์
และมีลำดับสมณศักดิ์ ดังนี้
วันที่ 18 ตุลาคม 2494 เป็นเจ้าคณะอำเภอเมืองสุพรรณบุรี
วันที่ 16 พฤศจิกายน 2494 ได้รับพระบัญชาแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดป่าเลไลยก์
วันที่ 5 ธันวาคม 2495 เป็นพระครูสัญญาบัตรที่ พระครูรักขิตวันมุนี
วันที่ 5 ธันวาคม 2510 เป็นพระราชาคณะที่ พระรักขิตวันมุนี
วันที่ 5 ธันวาคม 2521 เป็นพระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาที่ พระวิสุทธิสารเถรด้วยความที่ท่านมีชื่อเสียงในด้านพุทธาคม ตั้งแต่สมัยจำพรรษาที่วัดสุวรรณภูมิ ทำให้เหล่าขุนโจรที่มีชื่อ ต่างไปมาหาสู่ท่านเสมอ ไม่ว่าจะเป็น เสือฝ้าย เสือมเหศวร เสือใบ ที่มักมาหาเครื่องรางของขลังจาก หลวงพ่อถิร เสมอมีเรื่องเล่าในเกร็ดประวัติศาสตร์ท้องถิ่นไว้ด้วยว่า เสือเหล่านี้ต่างพากันประกาศ ใครหน้าไหนอย่าได้มารบกวนการสร้างพัฒนาวัดของ หลวงพ่อถิร ให้เดือดเนื้อร้อนใจเป็นเด็ดขาด หาไม่เป็นได้เจอกัน ทำให้มีคำกล่าวกันว่า หลวงพ่อถิร เลี้ยงเสือ เลี้ยงโจร ซึ่ง หลวงพ่อถิร เคยกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า “ข้าไม่ได้เลี้ยงพวกมันหรอก มันเลี้ยงข้าตะหาก…”
นอกจากเรื่องราวพุทธาคมแล้ว หลวงพ่อถิร ท่านยังเป็นพระที่มีสีลาจารวัตรงดงาม เคร่งครัดในพระธรรมวินัย มีเมตตาจิตจึงเป็นพระเกจิอาจารย์ที่ได้รับนิมนต์ในงานพุทธาภิเษกสำคัญแทบทุกงานในประเทศมาตั้งแต่อายุพรรษาไม่มากนักนอกจากนี้ หลวงพ่อถิร ท่านยังเป็นนักการศึกษา นักอ่าน นักเขียนตัวยงหนังสือประวัติวัดป่าเลไลยก์ ที่ตีพิมพ์ครั้งแรก เป็นผลงานการค้นคว้าของท่านเอง ทางวัดยังรักษาลายมือต้นฉบับเอาไว้อย่างดี
รวมทั้งได้จัดให้มีการศึกษาพระปริยัติธรรมทั้งแผนกธรรมและบาลี มีภิกษุสามเณรจำพรรษาปีละเกือบร้อยรูป ได้ปรับสานที่ ย้ายกุฏิ ซ่อมพระวิหารใหญ่มุงหลังคา กระเบื้องสี สร้างถนน สร้างศาลาสมเด็จพระนเรศวร ทำการซ่อมและสร้างเสมอมาจดวัดป่าได้รับเกียรติบัตรเป็น วัดพัฒนาตัวอย่าง วัดแรกของจังหวัดสุพรรณบุรีตั้งแต่ พ.ศ. 2507 เป็นต้นมา หลวงพ่อถิร ได้ริเริ่มจัดงานประจำปีวัดป่าเลไลยก์ กำหนดงานเทศกาลปิดทองหลวงพ่อโตวัดป่าเลไลยก์ในวันทางจันทรคติ วันขึ้น 5-9 ค่ำ ของเดือน 5 และเดือน 12 ของทุกปี วัดป่าเลไลยก์เริ่มเปิดกว้างสู่สาธารณชนยิ่งขึ้น
หลวงพ่อถิร ปญฺญาปโชโต ท่านได้มรณภาพลงเมื่อ วันที่ 3 มกราคม พ.ศ.2527 สิริรวมอายุได้ 81 สังขารของท่านนั้น ได้รับการบรรจุในโลง เก็บไว้ในมณฑปให้ผู้ศรัทธาได้สักการะบูชา...
Read more