ภาพถ่ายเมื่อ 28 พ.ย. 63 ครั้งรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ อนุสาวรีย์พระยาทุกขราษฎร์ (ช่วย) ต.ท่ามิหรำ อ.เมืองพัทลุง จ.พัทลุง ตามข้อมูลของกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า พระยาทุกขราษฎร์ เดิมชื่อ ช่วย เป็นต้นตระกูล "สัจจะบุตร" และ "ศรีสัจจัง" เป็นบุตรคนที่ ๒ ในจำนวนบุตร ๓ คนของขุนศรีสัจจัง เกิดที่บ้านน้ำเลือด ตำบลท่ามิหรำ อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง สำหรับวันเดือนปีเกิดไม่ปราบกฎหลักฐานแต่ประการใด แต่สันนิษฐานว่าคงเกิดในราว พ.ศ. ๒๒๘๒ สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ในแผ่นดินของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (พ.ศ. ๒๒๗๕ - ๒๓๐๑) เมื่ออายุได้ ๑๓ ปี บิดามารดาได้นำฝากเรียนหนังสือกับท่านสมภารวัดควนปรง ซึ่งเป็นวัดใกล้บ้าน ด้วยนิสัยรักการศึกษาค้นคว้าหาความรู้มาแต่เด็ก จึงได้บรรพชาในปีนั้น และเข้าศึกษาภาษาไทยขั้นอ่านเขียน และพระธรรมวินัยตามแบบฉบับค่านิยม เมื่ออายุครบ ๒๐ ปี ได้อุปสมบทที่วัดเขาอ้อ ตำบลมะกอกเหนือ อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ซึ่งเป็นวัดที่มีชื่อเสียงด้านไสยศาสตร์ เป็นที่นิยมของชาวเมืองต่างส่งบุตรหลานเข้าเรียนที่วัดนี้เป็นประจำ เชื่อกันว่าพระมหาช่วยได้ศึกษาด้านไสยศาสตร์กับพระอาจารย์จอมทอง ที่วัดเขาอ้อ ความสามารถที่ปรากฏเมื่อเป็นสามเณร เล่าสืบกันมาว่า สามเณรช่วยสามารถสอบบาลีผ่านได้เป็น “พระมหา” ตั้งแต่เป็นสามเณร ซึ่งหาได้ไม่ง่ายนักตามหัวเมือง ในขณะที่จำพรรษาที่จัดเขาอ้อ ท่านได้ศึกษาวิชาไสยศาสตร์อย่างจริงจัง สามารถปฏิบัติได้จนเป็นที่ยอมรับของพระอาจารย์และบรรดาศิษย์ร่วมสำนักเดียวกัน ที่พอเสนอรายชื่อเท่าที่ทราบดังนี้ หลวงพ่อศรีธรรม์ วัดนาท่าม อำเภอเมืองตรัง จังหวัดตรัง ท่านสมภารบัวชาติ (ทราบว่าอยู่จังหวัดชุมพร) ท่านสมภารบัวราม วัดโดนคลาน ตำบลบ้านพร้าว อำเภอป่าพะยอม จังหวัดพัทลุง ปัจจุบันยังคงมีอัฐิของท่านเก็บรักษาไว้ทางด้านทิศเหนือพระอุโบสถ ยังเป็นที่เคารพนับถือในความศักดิ์สิทธิ์ ปรากฏเป็นที่ทราบกันทั่วไปของชาวบ้านบริเวณนั้น ประมาณปี พ.ศ. ๒๓๑๕ เมืองพัทลุงย้ายที่ตั้งเมืองจากเขาชัยบุรีไปตั้งใหม่ที่บ้านโคกลุง ตำบลลำปำ อำเภอเมืองพัทลุง สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้พระยาพัทลุง (ขุนคางเหล็ก) เป็นเจ้าเมือง ท่านผู้นี้เดิมนับถือศาสนาอิสลาม แต่ต่อมาได้เปลี่ยนนับถือศาสนาพุทธ ในช่วงนั้นพระมหาช่วยได้รับนิมนต์มาเป็นสมภารที่วัดป่าลิไลยก์ ประมาณว่าท่านอายุได้ประมาณ ๓๓ ปี และวัดนี้เป็นสำนักสอนภาษาบาลี บรรดาลูกศิษย์ที่เคารพนับถือด้านไสยศาสตร์ก็มาฝากเนื้อฝากตัวมากมายเช่นเดิม จนปรากฏชื่อแพร่หลายควบคู่ทั้งบาลีและไสยศาสตร์ ความสัมพันธ์ด้านส่วนตัวของเจ้าเมืองพัทลุงคงจะสนิทสนมมากขึ้นเพราะเป็นวัดใกล้จวนเจ้าเมือง พระมหาช่วยเป็นพระอธิการอยู่ที่วัดป่าลิไลยก์ ตำบลลำปำ อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง ซึ่งอยู่ในสมัยรัชกาลที่ ๑ จากพงศาวดารไทยรบพม่า กล่าวไว้ว่า พ.ศ. ๒๓๒๘ กองทัพพม่าลงไปรวมกันอยู่ที่เมืองนครศรีธรรมราช ด้วยเกงหวุ่นแมงยีประสงค์จะไปตีเมืองพัทลุง และเมืองสงขลาต่อไป ครั้งนั้นมีพระภิกษุองค์หนึ่งเป็นอธิการอยู่ในวัดเมืองพัทลุง ชื่อพระมหาช่วย พวกชาวเมืองนับถือว่าเป็นผู้มีวิชาอาคม พระยาพัทลุง (ขุนคางเหล็ก) เจ้าเมืองพัทลุงในขณะนั้น และพระมหาช่วย ได้ชักชวนชาวเมืองพัทลุงให้ต่อสู้ข้าศึก รักษาเมือง ทำตะกรุดและผ้าประเจียดมงคลแจกจ่ายเป็นอันมาก กรมการและพวกนายบ้านจึงพาราษฎรมาสมัครเป็นศิษย์พระมหาช่วยมากขึ้นทุกที จนรวบรวมกันได้สัก ๑,๐๐๐ เศษ หาเครื่องศาสตราวุธได้ครบมือกันแล้ว ก็เชิญพระมหาช่วยผู้อาจารย์ขึ้นคานหามยกเป็นกระบวนทัพมาจากเมืองพัทลุง แล้วเลือกหาชัยภูมิที่ตั้งค่ายสกัดอยู่ในทางที่พม่าจะยกลงไปเมืองนครศรีธรรมราช ฝ่ายพม่ายังไม่ยกลงไปจากเมืองพัทลุง ได้ข่าวว่ากองทัพกรุงเทพยกลงไปจากทางข้างเหนือ เกงหวุ่นแมงยี แม่ทัพพม่าจึงให้เนยโยคงนะรัดนายทัพหน้า คุมพลยกกลับขึ้นมาตีกองทัพกรุงฯ เกงหวุ่นแมงยียกตามมาข้างหลัง กองทัพพม่ามาปะทะทัพไทยที่ตั้งอยู่ ณ เมืองไชยา พม่ายังไม่ทันตั้งค่าย ไทยก็ยกเข้าล้อมพม่าไว้ เมื่อเสร็จศึกพม่าแล้วพระมหาช่วยสมัครลาสิกขาบทออกรับราชการ ใน สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ทรงแต่งตั้งให้เป็นพระยาทุกขราษฎร์...
Read moreIl monumento è una scultura galleggiante in bronzo nero che si staglia elegantemente. Riflette molto bene una delle pagine storiche più importanti del popolo Phatthalung. Quando Phraya Tukkharat durante il periodo in cui fu ordinato monaco guidò gli abitanti del villaggio ad attaccare l'esercito birmano fino a quando non fu sconfitto durante la Guerra delle Nove Armate. Per questo la gente el posto lo ammira, venera e...
Read moreMonument which everyone in Phatthalung...
Read more