รีวิวย้อนหลัง เคยมากราบรูปหล่อพระอาจารย์ธรรมโชติและมาเที่ยวชมอนุสาวรีย์วีรบุรุษชาวบ้านบางระจัน ส่วนประวัติก็ตามนี้ครับ
ค่ายบางระจัน เป็นค่ายป้องกันตัวเอง ของชาวบ้านเมืองสิงห์บุรีและเมืองต่าง ๆ ที่พากันมาหลบภัยจากกองทัพพม่า ที่บางระจัน ก่อนการเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 2 สามารถต้านทานการเข้าตีของกองทัพพม่าได้หลายครั้ง ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย พม่าได้ยกกองทัพเข้ามา 2 ทาง คือ ทางเมืองกาญจนบุรีและเมืองตาก ทัพของเนเมียวสีหบดีได้มาตั้งค่ายอยู่ที่เมืองวิเศษชัยชาญ แล้วให้ทหารออกปล้นสะดมทรัพย์ สมบัติเสบียงอาหาร และข่มเหง ราษฎรไทย กลุ่มบุคคลที่บางระจันประกอบด้วยหัวหน้า 6 คน คือ นายแท่น นายโชติ นายอิน นายเมือง นายดอก และนายแก้ว ได้รวบรวมชาวบ้านต่อสู้กับพม่า โดยได้อัญเชิญพระอาจารย์ธรรมโชติจากสำนักวัดเขานางบวช แขวงเมืองสุพรรณบุรีซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้เรื่องวิชาอาคม มาร่วมให้กำลังใจ และมีหัวหน้าเพิ่มขึ้นอีก คือ ขุนสรรค์ นายจันทร์หนวดเขี้ยว นายทองเหม็น นายทองแสงใหญ่ และพันเรือง ช่วยกันตั้งค่ายบางระจันขึ้น เพื่อต่อสู้ขัดขวาง การรุกรานของพม่า พม่าได้พยายามเข้ามาตีชาวบ้านบางระจันถึง 7 ครั้ง แต่ไม่สำเร็จ จนในครั้งสุดท้ายสุกี้ชาวมอญ ซึ่งเป็นนายกองใหญ่ของพม่า ได้เคยอยู่ในเมืองไทยเป็นเวลานาน และรู้ว่าชาวบ้านบางระจันถนัดรบในที่แจ้ง จึงอาสามาปราบชาวบ้านบางระจัน โดยสั่งให้ยิงปืนใหญ่เข้าไปในค่ายแทนการสู้รบกันกลางแจ้งทำให้คนไทยต้องเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ส่วนฝ่ายไทยไม่มีปืนใหญ่ยิงตอบโต้ ครั้งเมื่อขอไปทางกรุงศรีอยุธยาก็ไม่ให้ โดยอ้างว่าเกรงจะถูกข้าศึกแย่งไประหว่างทาง ชาวบ้านจึงช่วยกันหล่อปืนใหญ่เอง โดยบริจาคของใช้ทุกอย่างที่ทำด้วยทองเหลืองมาหล่อปืนได้สองกระบอก แต่พอทดลองยิงกระบอกปืนก็แตกจนใช้การไม่ได้ในที่สุด ชาวบ้านบางระจันก็พ่ายแพ้แก่พม่า โดยการต่อสู้กันมานานถึง 5 เดือน
ประวัติของบุคคลสำคัญในบางระจัน นายพันเรือง เป็นหัวหน้าหมู่บ้านและนายพันเรืองยังเป็นผู้ออกความคิดหล่อปืนใหญ่ เพื่อยิงทำลายค่ายพม่า จึงชวนชาวบ้านให้ เสียสละทองเหลือง ทองแดง หล่อปืนขึ้น 2 กระบอก นายแท่น เป็นคนบ้านศรีบัวทอง แขวงเมืองสิงห์บุรี เป็นผู้ที่มีความกล้าหาญและมีฝีมือในการวางแผนรบ จัดว่าเป็นแม่ทัพใหญ่อีกคนหนึ่ง นายโชติ เป็นคนบ้านศรีบัวทอง แขวงเขตเมืองสิงห์บุรีติดต่อเมืองสุพรรณบุรี นายโชติได้รวมชาวบ้านที่ถูกกองลาดตะเวนของทหารพม่าข่มเหงและให้ส่งหญิงสาวให้ ในครั้งนั้นท่านกับพรรคพวกได้ลวงทหารพม่าไปฆ่าได้ กว่า 20 คน นายอิน เป็นคนบ้านสีบัวทอง ที่มากับนายแท่น นายโชติ นายเมือง เป็นคนหนึ่งที่ร่วมกันฆ่าทหารพม่าในครั้งแรก แล้วมารวบรวมกำลังตั้งค่ายบางระจันขึ้น ณ วัดโพธิ์เก้าต้น ท่านเป็น 1 ใน 11 ผู้นำชาวบ้านที่ออกต่อสู้กับทหารพม่า ด้วยความกล้าหาญจนตัวตายในสนามรบ นายดอกแก้ว อยู่เมืองวิเศษชัยชาญ เมืองถูกกองทัพพม่าตีเมือง วิเศษชัยชาญแตกและยึดเมืองได้ นายทองแก้วจึงรวบรวมชาวบ้านหลบหนีไป อยู่ที่บ้านโพธิ์ทะเล ท่านหนีออกมาคราวเดียวกับนายดอก ต้องแยกทัพกันอยู่เพราะมีชาวบ้านจำนวนมาก นายทองแสงใหญ่ ท่านเป็น 1 ใน 11 ท่าน ที่เป็นผู้นำระดับ แนวหน้า และท่านเป็นผู้ที่คิดตั้งค่ายน้อยเพื่อลวงทหารพม่า ได้คัดชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่ง ตั้งค่ายขึ้นอีกค่ายหนึ่ง ซึ่งห่างจากค่ายใหญ่ออกไป นายเมือง เป็นคนบ้านศรีบัวทอง เมืองสิงห์บุรี ร่วมกับนายอิน นายโชติ นายแท่น และชาวบ้านอีกจำนวนหนึ่ง ลวงทหารพม่าไปฆ่า และท่านเป็นคนไปนิมนต์พระอาจารย์ธรรมโชติ จากแคว้นเมืองสุพรรณมาอยู่วัดโพธิ์เก้าต้น ค่ายบางระจัน ขุนสรรค์ จากเมืองสรรค์บุรี ท่านได้รวบรวมชาวบ้านต่อสู้กับทหารพม่า ที่ยกทัพมาทางเมืองอุทัยธานี ท่านมีฝีมือในการยิงปืน เมื่อท่านกับชาวบ้านต่อต้าน ทหารพม่าไม่ไหวจึงชักชวนชาวบ้านมารวมกันที่บางระจัน และได้ร่วมรบกับชาวบ้าน ศรีบัวทอง ชาวเมืองวิเศษชัยชาญ ชาวบ้านที่รวมตัวกันอยู่ วัดโพธิ์เก้าต้นค่ายบางระจัน นายดอก อยู่เมืองวิเศษชัยชาญ เมื่อกองทัพพม่ายกมาล้อม กรุงศรีอยุธยา แม่ทัพพม่าสั่งให้กองทัพออกตีหัวเมืองต่าง ๆ เมืองวิเศษชัยชาญ จึงอยู่ในเป้าหมาย เมื่อกองทัพพม่าเข้าตีเมืองวิเศษชัยชาญแตก นายดอกจึงชักชวนชาวบ้านไปอยู่บ้านตลับ คือบ้านตลับในปัจจุบัน นายจันหนวดเขี้ยวท่านเป็นคนบางระจัน เดิมเป็นคนชื่อจัน ชอบไว้หนวดและแต่งหนวดให้งอนดูเหมือนเขี้ยว ชาวบ้านทั่วไปจึงเรียนท่านว่า นายจัน หนวดเขี้ยว ท่านเป็นผู้กล้าหาญมีฝีมือในการต่อสู้ เป็นเหมือนครูฝึกประจำหมู่บ้าน ให้เด็กหนุ่มสาว เมื่อทหารพม่ามาข่มเหงชาวบ้าน ท่านจึงออกช่วยชาวบ้าน นายทองเหม็นท่านเข้าร่วมในค่ายบางระจันและเป็นอีกท่านหนึ่งที่ ร่วมวางแผนในการรบครั้งที่ 4 ท่านทำหน้าที่เป็นปีกขวา ร่วมกับนายโชติ นายดอก นายทองแก้ว คุมพล 200 คน ไปข้ามคลองบ้านขุนโลก ตีโอบหลังข้าศึก...
Read moreThis monument is in honor of the courage and patriotism of Bang Rachan villagers, men and women, who gathered to ward off Burmese armies who attempted to attack Ayuttaya, the old Siamese capital, which is located further in the south.
The incident happened over 250 years ago. As the Burmese's southern army advanced to spearhead toward Ayuttaya, they waited for their northern army to join them for a major attack. But for five months they were held back at this village, and could not overrun it. The villagers sent a request to borrow cannons from Ayuttaya to defend themselves, but it was rejected. So they gathered from everyone all their ornaments made of metal to make a cannon. Unfortunately, it cracked after the first firing.
One of the villagers, named Nai Thong Men, got drunk and, armed with axes in both hands, rode off on a buffalo and charged into the Burmese armies. After slaying a handful of enemies, he himself was eventually killed.
When the Burmese main army arrived, consolidating with the southern army into a more powerful force, they raided the village, killing everyone, men and women alike. Bang Rachan then was left with just its name and memory of the...
Read moreหมู่บ้านบางระจัน เป็นหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ในทางเหนือของกรุงศรีอยุธยา เมืองหลวงเก่าของสยาม รัฐช่วงก่อนหน้าของประเทศไทยในสมัยใหม่ ปัจจุบัน หมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ในอำเภอค่ายบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี หมู่บ้านแห่งนี้เป็นที่จดจำในประวัติศาสตร์ไทยอันลือลั่นสำหรับการสู้รบต่อต้านการรุกรานของพม่าในสงครามพม่า-สยาม(พ.ศ. 2308 - พ.ศ. 2310) เป็นอันจุดจบของอาณาจักรอยุธยา
ตามประวัติศาสตร์ไทย พม่าได้ยกกองทัพบุกมาทางภาคเหนือซึ่งนำโดยเนเมียวสีหบดี ได้ถูกสกัดทัพไว้ที่บางระจันเป็นเวลาห้าเดือน การเล่าเรื่องที่เป็นที่นิยมแพร่หลายนั้นไม่สามารถเป็นจริงได้ทั้งหมดเพราะการทัพภาคเหนือทั้งหมดต้องใช้เวลาเพียงห้าเดือน(ช่วงกลางเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2308 ถึงปลายเดือนมกราคม พ.ศ. 2309) และกองทัพพม่าทางภาคเหนือยังคงติดอยู่ที่พิษณุโลกในภาคเหนือกลางของสยาม ช่วงปลายเดือนธันวาคม พ.ศ. 2308 แหล่งข่าวของพม่าได้กล่าวถึง "petty chiefs" (เทียบเท่ากับ "เมือง") ได้ขัดขวางการรุกของกองทัพพม่าทางภาคเหนือ แต่ก็เป็นช่วงแรกของการทัพตามแนวแม่น้ำวังในภาคเหนือของสยาม(ไม่ได้อยู่ใกล้กับอยุธยา) ในช่วงฤดูฝน (สิงหาคม-ตุลาคม พ.ศ. 2308) แม่ทัพชาวพม่าซึ่งในขณะนั้นที่อยู่ใกล้กับกรุงศรีอยุธยาไม่ใช่เนเมียวสีหบดี แต่เป็นมังมหานรธาพร้อมกับกองทัพทางภาคใต้ซึ่งกำลังรอให้กองทัพทางภาคเหนือเข้ามาสมทบแล้วเข้าโจมตีกรุงศรีอยุธยา ซึ่งปรากฏว่าเหตุการณ์ที่ได้รับการตรวจสอบแล้วถึง 3 เหตุการณ์ ได้แก่ petty chiefs ได้่ต้านทานกองทัพของเนเมียวสีหบดีในภาคเหนือ การทัพของเนเมียวสีหบดีได้กินเป็นเวลาห้าเดือน และมังมหานรธาซึ่งกำลังรอคอยอยู่ ในขณะที่อยู่ใกล้กับกรุงศรีอยุธยา จึงได้รวมตัวเข้าด้วยกันเพื่อสร้างเรื่องเล่าขานตำนานของสยามนี้
การเล่าเรื่องของไทยในปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมสมัยนิยมของไทยที่ถูกปลูกฝังแน่น ภาพยนตร์ไทยเรื่อง บางระจัน ในปี พ.ศ. 2543 ซึ่งได้นำเหตุการณ์นี้มาแสดงเป็นละครภาพยนตร์
ภาพที่ดูโดดเด่นอีกภาพหนึ่งคือ นายทองเหม็น ชายขี้เมาพร้อมกับขี่ควายบ้านตัวใหญ่เข้าต่อสู้รบกับทหารพม่าอย่างดุเดือด...
Read more