Ever wanted to be silently judged by a 700-year-old Buddha the size of an apartment block? Welcome to Wat Si Chum, where a giant stone Buddha peers through a narrow slit in the temple wall like it knows every bad life choice you’ve ever made.
This 15-meter-tall Buddha has been staring unblinking since the late 13th century, which explains why the place feels less like a tourist attraction and more like divine surveillance. The narrow chamber forces you to tilt your head back, as if the Buddha is saying, “Yes, bow lower, sinner.”
Historically, it was part of the Sukhothai Kingdom’s grand plan to wow the faithful, and even centuries later it still works, you walk in feeling like a traveler, walk out feeling like you’ve been spiritually roasted.
The surrounding ruins are tranquil enough, but it’s the giant hand resting gracefully on its knee that steals the show. People line up to touch it, probably hoping some of that eternal patience rubs off before they snap another 500 selfies.
Wat Si Chum isn’t just a temple, it’s a reminder that some beings don’t need Wi-Fi to keep...
Read moreAn absolute must for the history lovers. The Sukhothai Kingsom grew in the 13 century. The old ruins make up the park. Which had about 40 temples and many years ago covered a large area. Like most cities in Thailand, it follows a similar pattern. Walled city, a river, rice fields and in the distance green covered mountains. The park is made up of 5 zones. At the centre, the walled royal city. Protected by moats and ramparts. The most important ruins are within 5he centre. The four outer zones mark North ,East, South, and West. They all include impressive ruins. The best way to see the park is by bicycle. There are numerous shops outside the park that hire bikes for 50 Baht. Or you can hire a golf buggy for 200 baht per hour. Within the park there are plenty of people selling water and soft drinks. A few souvernier shops and food sellers. Close by there are numerous restaurants and street...
Read moreวัดศรีชุมเชื่อว่ากว่าครึ่งคงเคยไปมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 รอบ แต่จะมีสักกี่คนได้เคยเดินทางลับขึ้นไปถึงยอดมณฑป ขอบอก! ตอนมาครั้งแรกเมื่อปี 2530 เขายังเปิดให้ขึ้นไปได้ และก็โชคดีที่เป็นคนซุกซน เลยได้ขึ้นไปเดินชมวิวมาเรียบร้อย เสียดายที่ถ่ายรูปมาผิดมุม น่าจะถ่ายด้านที่เห็นเศียรพระอจนะ วัดศรีชุม เป็นศาสนโบราณสถานแห่งหนึ่งในเขตอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือนอกกำแพงเมืองเดิม วัดแห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยองค์ใหญ่ซึ่งมีนามว่า "พระอจนะ" องค์พระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ในมณฑป ซึ่งปัจจุบันยอดพระมณฑปได้พังทลายหมดแล้ว เหลือแต่เพียงผนังกำแพงโดยรอบ ไม่มีหลังคาปกคลุม เป็นพระพุทธรูปกลางแจ้ง พระพุทธอจนะ เป็นที่เลื่องลือถึงความศักดิ์สิทธิ์ มีมนต์เสน่ห์และเอกลักษณ์ชวนให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมและสักการะอย่างไม่ขาดสาย และถือเป็นหนึ่งในสถานที่เที่ยวที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของจังหวัดสุโขทัย ในปัจจุบันทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ไม่ห่างจากตัวโบราณสถานนัก มีวัดสร้างใหม่มีพระภิกษุสงฆ์จำพรรษา ใช้ชื่อว่าวัดศรีชุมเช่นเดียวกัน "วัดศรีชุม" มาจากคำเรียกพื้นเมืองเดิม ซึ่งหมายถึง ต้นศรีมหาโพธิ์ ดังนั้นชื่อ ศรีชุม จึงหมายถึงดงของต้นโพธิ์ แต่ในหนังสือพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาที่เขียนในสมัยอยุธยาตอนปลาย ไม่เข้าใจความหมายนี้แล้ว จึงเรียกสถานที่นั้นว่า "ฤๅษีชุม" สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยพ่อขุนรามคำแหง พระมณฑปกว้างด้านละ 32 เมตร สูง 15 เมตร ผนังหนา 3 เมตร ผนังด้านซ้ายเจาะเป็นทางทำบันได ในผนังขึ้นไปถึงหลังคา ตามฝาผนังอุโมงค์มีภาพเขียนเก่าแก่แต่เลอะเลือนเกือบหมด ภาพเขียนนี้มีอายุเกือบ 700 ปี เพดานผนังมีแผ่นหินชนวนสลักภาพลายเส้นเป็นเรื่องในชาดกต่างๆ มีจำนวน 50 ภาพ เรียงประดับต่อเนื่องกัน ทั้งหมดนี้ถือได้ว่าเป็นงานจิตรกรรมไทยที่เก่าแก่ที่สุด ในสมัยอยุธยา เมื่อครั้งสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ประกาศอิสรภาพในปี พ.ศ. 2127 ที่เมืองแครง ทำให้หัวเมืองต่าง ๆ ยกเลิกการส่งส่วยให้กับพม่า แต่ยังมีเมืองเชลียง ( สวรรคโลก) ที่ไม่ยอมทำตามพระราชโองการของพระองค์ พระองค์จึงนำทัพเสด็จมาปราบเมืองเชลียง และได้มีการมาชุมนุมทัพที่วัดศรีชุมแห่งนี้ก่อนที่จะไปตีเมืองเชลียง และด้วยการรบในครั้งนั้นเป็นการรบระหว่างคนไทยกับคนไทยด้วยกัน ทำให้เหล่าทหารไม่มีกำลังใจในการรบไม่อยากรบ สมเด็จพระนเรศวรจึงได้วางแผนสร้างกำลังใจให้กับทหาร โดยการให้ทหารคนหนึ่งปีนบันไดขึ้นไปทางด้านหลังองค์พระ และพูดให้กำลังใจแก่เหล่าทหาร ทำให้ทหารเกิดกำลังใจที่จะต่อสู้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดตำนานพระพูดได้ที่วัดศรีชุมแห่งนี้ และพระนเรศวรยังได้มีการทำพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาขึ้นที่วัดแห่งนี้ด้วย ตามหลักฐานระบุว่าวัดแห่งนี้ได้มีการบูรณะครั้งใหญ่ในสมัยพระเจ้าลิไท และมีการดูแลบูรณะเรื่อยมา สันนิษฐานว่าวัดนี้ได้ถูกทิ้งร้างในสมัยอยุธยาตอนปลาย จนกระทั่งในสมัย รัชกาลที่ 9 ได้มีโครงการบูรณปฏิสังขรณ์ ในปี พ.ศ. 2495 โดยเริ่มมีการบูรณะพระพุทธรูปพระอจนะ โดยศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี และอาจารย์เขียน ยิ้มสิริ วัดจึงอยู่ในสภาพที่เห็นในปัจจุบัน วิหารหลวง อยู่ด้านหน้ามณฑป เป็นวิหารขนาด 6 ห้อง "พระอจนะ" คำว่า อจนะ มีผู้ให้ความหมายพระอจนะว่าหมายถึงคำในภาษาบาลีว่า “อจละ” ซึ่งแปลว่า “ผู้ไม่หวั่นไหว มั่นคง”...
Read more