วัดมณีชลขันท์ เป็นวัดเก่าแก่ริมแม่น้ำลพบุรี เดิมชื่อ วัดเกาะแก้ว เพราะตั้งอยู่กลางแม่น้ำลพบุรีจนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ พระราชทานนามวัดใหม่ว่า วัดมณีชลขันฑ์ทำเลที่ตั้งยังทำให้วัดนี้เปรียบดังประตูเมืองลพบุรี เพราะเป็นทางสายตรงสายเดียวระหว่างลพบุรีและสิงห์บุรี ใครมาเยือนต่างต้องไปชมเจดีย์ที่ก่อเป็นรูปเหลี่ยมสูงชะลูดหรือพระพุทธรูปปางนาคปรกอันแสนงดงามอีกทั้งต้นศรีมหาโพธิ์ พระอุโบสถ พระวิหาร และพระพุทธรูปใหญ่ริมน้ำภายในวัดยังมีการจัดแสดงจารึกบนแผ่นไม้บุษบกธรรมาสน์ วัดมณีชลขัณฑ์ กล่าวถึงประวัติการสร้างบุษบกธรรมาสน์หลังนี้ ด้วยความที่มีมรดกทางวัฒนธรรมมากมายทางกรมศิลปากรจึงประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน นอกจากนี้หากอยากมาชมความคึกคักช่วงเทศกาลเดือนสิบสองทางวัดมีการจัดแข่งเรือและงานเทศกาลลอยกระทงทุกปี
ที่นักประวัติศาสตร์สนใจศึกษาความเป็นมาทั้งเรื่องของบุคคล สถานที่ จนมีการค้นพบและรวบรวมเป็นข้อสันนิษฐานไว้หลายเรื่อง อีกทั้งยังมีบางเรื่องที่ให้คำตอบไม่ได้จนทุกวันนี้ วัดมณีชลขันธ์จึงเป็นวัดในประวัติศาสตร์ที่น่าไปเยือน
กำเนิดวัดมณีชลขันธ์ คือประวัติศาสตร์ที่ต้องสืบค้นจากหลักฐานทางโบราณวัตถุที่ค้นพบที่นี่ คือ บุษบกธรรมาสน์ ที่เป็นฝีมือของช่างหลวง ที่มีจารึกว่าสร้างเมื่อปี 2225 ทำให้ได้ข้อสรุปว่า วัดแห่งนี้คงสร้างมาก่อนปี พ.ศ.2225 แน่นอน และนั่นคือข้อสรุปว่า ที่นี่น่าจะเป็นวัดในยุคของสมเด็จพระนารายณ์ที่ครองราชย์อยู่ในช่วงปี 2199-2231
วัดเก่าแก่ที่เคยได้รับการบูรณะครั้งใหญ่มาแล้ว เรื่องนี้ก็เช่นกันที่เป็นการยืนยันผ่านหลักฐานจดหมายเหตุที่ยังคงเก็บรักษาไว้เป็นเครื่องยืนยันว่า ที่นี่ซึ่งแต่เดิมเรียกว่า “วัดเกาะแก้ว” ตามลักษณะของทำเลที่ตั้ง มีการบูรณะครั้งใหญ่ในช่วงปี 2397 สมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ หลังจากบูรณะแล้วได้รับการยกขึ้นเป็นพระอารามหลวง ชั้นตรี สังกัดธรรมยุต ส่วนชื่อวัดถูกเปลี่ยนในสมัยรัชกาลที่ 5 ในเวลาต่อมา
กำเนิดเจดีย์สีขาวที่งดงามด้วยรูปแบบ ทรง 4 เหลี่ยม ย่อมุมไม้ 12 ลักษณะเหมือนเจดีย์ยุคเชียงแสนของวัดมณีชลขันธ์ บอกเล่าถึงประวัติการก่อสร้างว่า เป็นทั้งฝีมือการออกแบบ และริเริ่มก่อสร้างโดยหลวงพ่อแสง หรือที่รู้จักกันต่อๆ มาว่า “ขรัวแสง” ซึ่งเป็นบุรพาจารย์ของสมเด็จพุฒาจารย์ โต ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวพุทธจนถึงปัจจุบัน
หลักฐานยืนยันเรื่องขรัวแสงเป็นผู้สร้างนี้ปรากฏในจดหมายเหตุในรัชสมัยของรัชกาลที่ 5 พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และยังระบุว่า ขรัวแสงนั้นเป็นคนมีวิชา เป็นที่รู้จัก เคารพของชาวลพบุรี และบอกว่าท่านสร้างคนเดียว ไม่ให้ใครช่วย แต่น่าเสียดายที่บุคคลสำคัญท่านนี้ กลับหายไปจากการรับรู้เรื่องราวของผู้คนในเวลาต่อมา ไม่มีใครรู้ว่าท่านไปอยู่ที่ไหนหลังจากเจดีย์สร้างเสร็จ ไม่ทราบแม้แต่ข่าวการมรณภาพ มีเพียงการระลึกถึงด้วยการสร้างวิหาร หล่อรูปเหมือนของท่านไว้บูชา ทั้งรูปหล่อ และหุ่นขี้ผึ้ง เรื่องราวความน่าเคารพในฐานะอาจารย์ของสมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี นับเป็นเรื่องแปลก ชวนฉงนสงสัยว่า บุคคลสำคัญเช่นนี้ ทำไมหายไป หายไปไหน ทำไมไม่มีใครรู้ ไม่มีใครบันทึกไว้ ทั้งที่เป็นที่เคารพ ศรัทธา จากหลักฐานต่อๆ มา เหลือเพียงภาพถ่ายและเรื่องราวที่ยืนยันว่า ท่านมีตัวตนอยู่จริง และน่าเชื่อว่า คุณความดี ตลอดจนคุณวิเศษของท่านน่าจะโดดเด่นกว่าที่ปรากฏหลักฐานเอาไว้ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีคนรุ่นหลังใส่ใจสร้างวัตถุมงคลทดแทนการระลึกถึงท่านแน่
เจดีย์หลวงปู่แสง ตลอดจนรูปปั้นของท่านที่ปรากฏอยู่ในวิหารมีผู้คนมากราบไหว้ตลอด เพราะนับถือในความศักดิ์สิทธิ์ ตามตำนานเล่าว่า เป็นการสร้างเจดีย์ครอบ “แก้วศักดิ์สิทธิ์มหัศจรรย์” เอาไว้ ในด้านชื่อเสียงของหลวงปู่แสงนั้น ส่วนใหญ่ปรากฏตามคำบอกเล่าของเหล่าลูกศิษย์ และเลื่องลือไปไกล รวมถึงตัวท่านเป็นที่เคารพถึงราชวงศ์ในรั้วในวังด้วย ชื่อแสงกับปริศนาชีวิตที่หายไป ยังเป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาวัดและเรื่องราวของท่านพูดถึงคู่กัน จนถึงทุกวันนี้ มีโอกาส นักท่องเที่ยวและศึกษาประวัติศาสตร์รุ่นหลังๆ จึงไปวัดมณีชลขันธ์ วัดที่ทั้งสวยงาม และเก็บประวัติศาสตร์สถานที่และบุคคลไว้
นอกจากนั้น บรรยากาศโดยรอบข้างยังร่มรื่น มีทั้งโพธิ์ใหญ่ที่ได้รับเมล็ดพันธุ์จากพุทธคยา พระพุทธรูปสีขาวขนาดใหญ่ประดิษฐานอยู่กลางแจ้งให้กราบไหว้ พระพุทธรูปปางต่างๆ เป็นเรื่องราวในพุทธประวัติบริเวณฐานโคนต้นโพธิ์ พระอุโบสถ หอระฆังที่ได้รับการดูแลอย่างดี และที่นี่คือโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนและประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่ออนุรักษ์ให้ถึงรุ่นลูกหลานแล้ว
ที่อยู่
อยู่ริมถนนลพบุรี-สิงห์บุรี (ทางหลวงหมายเลข 311) บริเวณข้ามแม่น้ำลพบุรี ในตำบล พรหมมาสตร์...
Read moreมากราบรูปหล่อหลวงปู่แสงอาจารย์ของสมเด็จพระพุฒาจารย์โตพรหมรังสี เป็นพระที่ดีและเก่งมากในสมัยก่อน ไปมาวันที่ 15/9/67 ส่วนประวัติตา มนี้ครับ
ประวัติหลวงปู่แสง ที่ปรากฏอยู่ในประวัติหลวงปู่สี พระอรหันต์ ๗ แผ่นดิน จากประวัติหลวงปู่สี วัดถ้ำเขาบุนนาค (พ.ศ.๒๓๙๓ - ๒๕๒๐) ทราบว่าพระอาจารย์ของท่านเคยพาไปถวายตัวเป็นศิษย์ และบวชเณรกับสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ตอนที่ท่านอายุได้ ๑๑ ขวบ "พระอาจารย์ของหลวงปู่สี ชื่อพระอาจารย์อินทร์ พาศิษย์รักเด็กชายลี (หลวงปู่สี) รอนแรมธุดงค์จากป่าลึกดงดิบสุรินทร์ จวบจนบรรลุถึงเมืองเขตสยาม อันเป็นจุดหมายที่พระอาจารย์อินทร์ต้องการธุดงค์มาเยี่ยมสหธรรมมิกของท่าน ที่วัดระฆังนั้น พระอาจารย์อินทร์ ท่านมีความสนิทสนมกับขรัวโต (ครั้งเป็นพระธรรมกิตติ)ตั้งแต่เมื่อคราวที่ขรัวโตท่านไปศึกษาวิปัสสนาธุระกับพระอาจารย์แสง วัดชลมณีขันธ์ ที่ลพบุรี ในยุคพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒) ในสมัยรัชกาลที่ ๒ พระองค์ส่งเสริมวิปัสสนา แต่สำนักที่มีชื่อเสียงที่สุดในยุคนั้นก็คือ สำนักของอาจารย์แสง ลพบุรี พระอาจารย์แสงเป็นพระที่เชี่ยวชาญทางพระกรรมฐานมาก
พระอาจารย์แสง หรือขรัวแสงนั้นท่านเป็นพระอาจารย์ที่เก่งมากองค์หนึ่งในปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา มีชื่อเสียงโด่งดังในสมัยรัชกาลที่ ๒-๓ โดยเฉพาะสมัยรัชกาลที่ ๒ พระพุทธเลิศหล้านภาลัยท่านส่งเสริมวิปัสสนาธุระมาก พระองค์ได้ฟื้นฟูทำนุบำรุงวิทยาการวิปัสสนาธุระ โดยโปรดให้อาราธนาพระภิกษุผู้ทรงคุณวุฒิในทางวิปัสสนาทั้งในกรุง และทุกหัวเมืองทั้งเหนือ ใต้ อีสาน มารับพระราชทานบริขารอันควรแก่สมณะฝ่ายอรัญวาสี แล้วทรงแต่งตั้งเป็นพระอาจารย์บอกกรรมฐาน ครั้นในรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้รับสั่งให้นิมนต์เจ้าประคุณสมเด็จฯ เข้าเฝ้าเพื่อรับพระราชทานแต่งตั้งให้เป็นพระราชาคณะ แต่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้ทรงทูลขอตัวไม่รับพระราชทานสมณศักดิ์ และได้ออกเดินทางไปธุดงค์ในจังหวัดต่างๆ จนถึงกับท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้เลยไปถึงเมืองเขมร ซึ่งขณะนั้นเขมรยังเป็นเมืองขึ้นของไทยอยู่ เพื่อหนีการแต่งตั้งในครั้งนี้ ขรัวโตท่านจึงมีความสนิทสนมกับพระอาจารย์อินทร์ ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของเด็กชายลี...
Read moreNice Big chedi located in a small park right next to the riverfront. Beautiful small area worth spending 10 min at as a tourist. While you are here you might as Well visit the temple right across this street. Again for sure its beautiful but not something you should travel for hours to see. But if you are in Lop Buri you definately must...
Read more