HTML SitemapExplore
logo
Find Things to DoFind The Best Restaurants

Chedi Luang Po Saeng Wat Mani Chonkhan — Attraction in Lop Buri

Name
Chedi Luang Po Saeng Wat Mani Chonkhan
Description
Wat Chedi Luang is a Buddhist temple in the historic centre of Chiang Mai, Thailand. The current temple grounds were originally made up of three temples — Wat Chedi Luang, Wat Ho Tham and Wat Sukmin.
Nearby attractions
Wat Sao Thong Thong Phra Aram Luang
RJ25+RP8, Tha Hin, Mueang Lop Buri District, Lopburi 15000, Thailand
Prang Khaek historical shrine
RJ26+WM4, Tha Hin, Mueang Lop Buri District, Lopburi 15000, Thailand
King Narai's Palace
303, Sorasak Alley, Tha Hin, Mueang Lop Buri District, Lopburi 15000, Thailand
King Narai National Museum
RJ26+6J3, Sorasak Alley, Tha Hin, Mueang Lop Buri District, Lopburi 15000, Thailand
Wat Nakorn Kosa
215 Narai Maharach Rd, Tha Hin, Mueang Lop Buri District, Lopburi 15000, Thailand
Wat Phrasi Rattana Mahathat
QJX7+FWC, Ratchadamnoen 1 Alley, Tha Hin, Mueang Lop Buri District, Lopburi 15000, Thailand
Nearby restaurants
Baan Sahai Cafe
33-35 Sorasak Alley, Tha Hin, Mueang Lop Buri District, Lopburi 15000, Thailand
Ma Tini Restaurant and Bar
Phraya Kamchat Alley, Tha Hin, Mueang Lop Buri District, Lopburi 15000, Thailand
Chalerm Thai Noodle
95 พรหมาสตร์ 1, Tambon Phrommat, เมือง Lopburi 15000, Thailand
ร้านแพบ้านริมน้ำ
ถนน เพทราชา Tha Hin, Mueang Lop Buri District, Lopburi 15000, Thailand
Nearby hotels
Tatiphop Hotel
149 Mueang Lop Buri District, Lopburi 15000, Thailand
Rhama Plaza Hotel
4 ถนนบ้านป้อม อำเภอเมือง Amphoe Mueang Lop Buri, Lopburi 15000, Thailand
Nett Hotel
5 5 Ratchadamnoen Alley, Tha Hin, Mueang Lop Buri District, Lopburi 15000, Thailand
Noom Guest House & Restaurant
15 17 Phraya Kamchat Alley, Tha Hin, เมือง Lopburi 15000, Thailand
Pee Homestay and Massage
6 Kosapran Soi Pommajan Tombon Talaeycupsorn Ampuremaung, Tha Hin, Mueang Lop Buri District, Lopburi 15000, Thailand
Related posts
Keywords
Chedi Luang Po Saeng Wat Mani Chonkhan tourism.Chedi Luang Po Saeng Wat Mani Chonkhan hotels.Chedi Luang Po Saeng Wat Mani Chonkhan bed and breakfast. flights to Chedi Luang Po Saeng Wat Mani Chonkhan.Chedi Luang Po Saeng Wat Mani Chonkhan attractions.Chedi Luang Po Saeng Wat Mani Chonkhan restaurants.Chedi Luang Po Saeng Wat Mani Chonkhan travel.Chedi Luang Po Saeng Wat Mani Chonkhan travel guide.Chedi Luang Po Saeng Wat Mani Chonkhan travel blog.Chedi Luang Po Saeng Wat Mani Chonkhan pictures.Chedi Luang Po Saeng Wat Mani Chonkhan photos.Chedi Luang Po Saeng Wat Mani Chonkhan travel tips.Chedi Luang Po Saeng Wat Mani Chonkhan maps.Chedi Luang Po Saeng Wat Mani Chonkhan things to do.
Chedi Luang Po Saeng Wat Mani Chonkhan things to do, attractions, restaurants, events info and trip planning
Chedi Luang Po Saeng Wat Mani Chonkhan
ThailandLop Buri ProvinceLop BuriChedi Luang Po Saeng Wat Mani Chonkhan

Basic Info

Chedi Luang Po Saeng Wat Mani Chonkhan

RJ45+GW5, 311, Phrommat, Mueang Lop Buri District, Lopburi 15000, Thailand
4.5(108)
Open 24 hours
Save
spot

Ratings & Description

Info

Wat Chedi Luang is a Buddhist temple in the historic centre of Chiang Mai, Thailand. The current temple grounds were originally made up of three temples — Wat Chedi Luang, Wat Ho Tham and Wat Sukmin.

Cultural
Scenic
attractions: Wat Sao Thong Thong Phra Aram Luang, Prang Khaek historical shrine, King Narai's Palace, King Narai National Museum, Wat Nakorn Kosa, Wat Phrasi Rattana Mahathat, restaurants: Baan Sahai Cafe, Ma Tini Restaurant and Bar, Chalerm Thai Noodle, ร้านแพบ้านริมน้ำ
logoLearn more insights from Wanderboat AI.
Phone
+66 36 411 583

Plan your stay

hotel
Pet-friendly Hotels in Lop Buri
Find a cozy hotel nearby and make it a full experience.
hotel
Affordable Hotels in Lop Buri
Find a cozy hotel nearby and make it a full experience.
hotel
The Coolest Hotels You Haven't Heard Of (Yet)
Find a cozy hotel nearby and make it a full experience.
hotel
Trending Stays Worth the Hype in Lop Buri
Find a cozy hotel nearby and make it a full experience.

Reviews

Nearby attractions of Chedi Luang Po Saeng Wat Mani Chonkhan

Wat Sao Thong Thong Phra Aram Luang

Prang Khaek historical shrine

King Narai's Palace

King Narai National Museum

Wat Nakorn Kosa

Wat Phrasi Rattana Mahathat

Wat Sao Thong Thong Phra Aram Luang

Wat Sao Thong Thong Phra Aram Luang

4.4

(300)

Open 24 hours
Click for details
Prang Khaek historical shrine

Prang Khaek historical shrine

4.5

(212)

Open until 12:00 AM
Click for details
King Narai's Palace

King Narai's Palace

4.7

(1.3K)

Open 24 hours
Click for details
King Narai National Museum

King Narai National Museum

4.6

(583)

Open 24 hours
Click for details

Nearby restaurants of Chedi Luang Po Saeng Wat Mani Chonkhan

Baan Sahai Cafe

Ma Tini Restaurant and Bar

Chalerm Thai Noodle

ร้านแพบ้านริมน้ำ

Baan Sahai Cafe

Baan Sahai Cafe

4.4

(244)

$

Open until 10:00 PM
Click for details
Ma Tini Restaurant and Bar

Ma Tini Restaurant and Bar

4.1

(25)

Click for details
Chalerm Thai Noodle

Chalerm Thai Noodle

4.4

(452)

$

Click for details
ร้านแพบ้านริมน้ำ

ร้านแพบ้านริมน้ำ

4.2

(303)

Click for details
Get the Appoverlay
Get the AppOne tap to find yournext favorite spots!
Wanderboat LogoWanderboat

Your everyday Al companion for getaway ideas

CompanyAbout Us
InformationAI Trip PlannerSitemap
SocialXInstagramTiktokLinkedin
LegalTerms of ServicePrivacy Policy

Get the app

© 2025 Wanderboat. All rights reserved.
logo

Reviews of Chedi Luang Po Saeng Wat Mani Chonkhan

4.5
(108)
avatar
5.0
3y

วัดมณีชลขันท์ เป็นวัดเก่าแก่ริมแม่น้ำลพบุรี เดิมชื่อ วัดเกาะแก้ว เพราะตั้งอยู่กลางแม่น้ำลพบุรีจนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ พระราชทานนามวัดใหม่ว่า วัดมณีชลขันฑ์ทำเลที่ตั้งยังทำให้วัดนี้เปรียบดังประตูเมืองลพบุรี เพราะเป็นทางสายตรงสายเดียวระหว่างลพบุรีและสิงห์บุรี ใครมาเยือนต่างต้องไปชมเจดีย์ที่ก่อเป็นรูปเหลี่ยมสูงชะลูดหรือพระพุทธรูปปางนาคปรกอันแสนงดงามอีกทั้งต้นศรีมหาโพธิ์ พระอุโบสถ พระวิหาร และพระพุทธรูปใหญ่ริมน้ำภายในวัดยังมีการจัดแสดงจารึกบนแผ่นไม้บุษบกธรรมาสน์ วัดมณีชลขัณฑ์ กล่าวถึงประวัติการสร้างบุษบกธรรมาสน์หลังนี้ ด้วยความที่มีมรดกทางวัฒนธรรมมากมายทางกรมศิลปากรจึงประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน นอกจากนี้หากอยากมาชมความคึกคักช่วงเทศกาลเดือนสิบสองทางวัดมีการจัดแข่งเรือและงานเทศกาลลอยกระทงทุกปี

ที่นักประวัติศาสตร์สนใจศึกษาความเป็นมาทั้งเรื่องของบุคคล สถานที่ จนมีการค้นพบและรวบรวมเป็นข้อสันนิษฐานไว้หลายเรื่อง อีกทั้งยังมีบางเรื่องที่ให้คำตอบไม่ได้จนทุกวันนี้ วัดมณีชลขันธ์จึงเป็นวัดในประวัติศาสตร์ที่น่าไปเยือน

กำเนิดวัดมณีชลขันธ์ คือประวัติศาสตร์ที่ต้องสืบค้นจากหลักฐานทางโบราณวัตถุที่ค้นพบที่นี่ คือ บุษบกธรรมาสน์ ที่เป็นฝีมือของช่างหลวง ที่มีจารึกว่าสร้างเมื่อปี 2225 ทำให้ได้ข้อสรุปว่า วัดแห่งนี้คงสร้างมาก่อนปี พ.ศ.2225 แน่นอน และนั่นคือข้อสรุปว่า ที่นี่น่าจะเป็นวัดในยุคของสมเด็จพระนารายณ์ที่ครองราชย์อยู่ในช่วงปี 2199-2231

วัดเก่าแก่ที่เคยได้รับการบูรณะครั้งใหญ่มาแล้ว เรื่องนี้ก็เช่นกันที่เป็นการยืนยันผ่านหลักฐานจดหมายเหตุที่ยังคงเก็บรักษาไว้เป็นเครื่องยืนยันว่า ที่นี่ซึ่งแต่เดิมเรียกว่า “วัดเกาะแก้ว” ตามลักษณะของทำเลที่ตั้ง มีการบูรณะครั้งใหญ่ในช่วงปี 2397 สมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ หลังจากบูรณะแล้วได้รับการยกขึ้นเป็นพระอารามหลวง ชั้นตรี สังกัดธรรมยุต ส่วนชื่อวัดถูกเปลี่ยนในสมัยรัชกาลที่ 5 ในเวลาต่อมา

กำเนิดเจดีย์สีขาวที่งดงามด้วยรูปแบบ ทรง 4 เหลี่ยม ย่อมุมไม้ 12 ลักษณะเหมือนเจดีย์ยุคเชียงแสนของวัดมณีชลขันธ์ บอกเล่าถึงประวัติการก่อสร้างว่า เป็นทั้งฝีมือการออกแบบ และริเริ่มก่อสร้างโดยหลวงพ่อแสง หรือที่รู้จักกันต่อๆ มาว่า “ขรัวแสง” ซึ่งเป็นบุรพาจารย์ของสมเด็จพุฒาจารย์ โต ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวพุทธจนถึงปัจจุบัน

หลักฐานยืนยันเรื่องขรัวแสงเป็นผู้สร้างนี้ปรากฏในจดหมายเหตุในรัชสมัยของรัชกาลที่ 5 พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และยังระบุว่า ขรัวแสงนั้นเป็นคนมีวิชา เป็นที่รู้จัก เคารพของชาวลพบุรี และบอกว่าท่านสร้างคนเดียว ไม่ให้ใครช่วย แต่น่าเสียดายที่บุคคลสำคัญท่านนี้ กลับหายไปจากการรับรู้เรื่องราวของผู้คนในเวลาต่อมา ไม่มีใครรู้ว่าท่านไปอยู่ที่ไหนหลังจากเจดีย์สร้างเสร็จ ไม่ทราบแม้แต่ข่าวการมรณภาพ มีเพียงการระลึกถึงด้วยการสร้างวิหาร หล่อรูปเหมือนของท่านไว้บูชา ทั้งรูปหล่อ และหุ่นขี้ผึ้ง เรื่องราวความน่าเคารพในฐานะอาจารย์ของสมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี นับเป็นเรื่องแปลก ชวนฉงนสงสัยว่า บุคคลสำคัญเช่นนี้ ทำไมหายไป หายไปไหน ทำไมไม่มีใครรู้ ไม่มีใครบันทึกไว้ ทั้งที่เป็นที่เคารพ ศรัทธา จากหลักฐานต่อๆ มา เหลือเพียงภาพถ่ายและเรื่องราวที่ยืนยันว่า ท่านมีตัวตนอยู่จริง และน่าเชื่อว่า คุณความดี ตลอดจนคุณวิเศษของท่านน่าจะโดดเด่นกว่าที่ปรากฏหลักฐานเอาไว้ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีคนรุ่นหลังใส่ใจสร้างวัตถุมงคลทดแทนการระลึกถึงท่านแน่

เจดีย์หลวงปู่แสง ตลอดจนรูปปั้นของท่านที่ปรากฏอยู่ในวิหารมีผู้คนมากราบไหว้ตลอด เพราะนับถือในความศักดิ์สิทธิ์ ตามตำนานเล่าว่า เป็นการสร้างเจดีย์ครอบ “แก้วศักดิ์สิทธิ์มหัศจรรย์” เอาไว้ ในด้านชื่อเสียงของหลวงปู่แสงนั้น ส่วนใหญ่ปรากฏตามคำบอกเล่าของเหล่าลูกศิษย์ และเลื่องลือไปไกล รวมถึงตัวท่านเป็นที่เคารพถึงราชวงศ์ในรั้วในวังด้วย ชื่อแสงกับปริศนาชีวิตที่หายไป ยังเป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาวัดและเรื่องราวของท่านพูดถึงคู่กัน จนถึงทุกวันนี้ มีโอกาส นักท่องเที่ยวและศึกษาประวัติศาสตร์รุ่นหลังๆ จึงไปวัดมณีชลขันธ์ วัดที่ทั้งสวยงาม และเก็บประวัติศาสตร์สถานที่และบุคคลไว้

นอกจากนั้น บรรยากาศโดยรอบข้างยังร่มรื่น มีทั้งโพธิ์ใหญ่ที่ได้รับเมล็ดพันธุ์จากพุทธคยา พระพุทธรูปสีขาวขนาดใหญ่ประดิษฐานอยู่กลางแจ้งให้กราบไหว้ พระพุทธรูปปางต่างๆ เป็นเรื่องราวในพุทธประวัติบริเวณฐานโคนต้นโพธิ์ พระอุโบสถ หอระฆังที่ได้รับการดูแลอย่างดี และที่นี่คือโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนและประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่ออนุรักษ์ให้ถึงรุ่นลูกหลานแล้ว

ที่อยู่

อยู่ริมถนนลพบุรี-สิงห์บุรี (ทางหลวงหมายเลข 311) บริเวณข้ามแม่น้ำลพบุรี ในตำบล พรหมมาสตร์...

   Read more
avatar
5.0
1y

มากราบรูปหล่อหลวงปู่แสงอาจารย์ของสมเด็จพระพุฒาจารย์โตพรหมรังสี เป็นพระที่ดีและเก่งมากในสมัยก่อน ไปมาวันที่ 15/9/67 ส่วนประวัติตา มนี้ครับ

ประวัติหลวงปู่แสง ที่ปรากฏอยู่ในประวัติหลวงปู่สี พระอรหันต์ ๗ แผ่นดิน จากประวัติหลวงปู่สี วัดถ้ำเขาบุนนาค (พ.ศ.๒๓๙๓ - ๒๕๒๐) ทราบว่าพระอาจารย์ของท่านเคยพาไปถวายตัวเป็นศิษย์ และบวชเณรกับสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ตอนที่ท่านอายุได้ ๑๑ ขวบ "พระอาจารย์ของหลวงปู่สี ชื่อพระอาจารย์อินทร์ พาศิษย์รักเด็กชายลี (หลวงปู่สี) รอนแรมธุดงค์จากป่าลึกดงดิบสุรินทร์ จวบจนบรรลุถึงเมืองเขตสยาม อันเป็นจุดหมายที่พระอาจารย์อินทร์ต้องการธุดงค์มาเยี่ยมสหธรรมมิกของท่าน ที่วัดระฆังนั้น พระอาจารย์อินทร์ ท่านมีความสนิทสนมกับขรัวโต (ครั้งเป็นพระธรรมกิตติ)ตั้งแต่เมื่อคราวที่ขรัวโตท่านไปศึกษาวิปัสสนาธุระกับพระอาจารย์แสง วัดชลมณีขันธ์ ที่ลพบุรี ในยุคพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒) ในสมัยรัชกาลที่ ๒ พระองค์ส่งเสริมวิปัสสนา แต่สำนักที่มีชื่อเสียงที่สุดในยุคนั้นก็คือ สำนักของอาจารย์แสง ลพบุรี พระอาจารย์แสงเป็นพระที่เชี่ยวชาญทางพระกรรมฐานมาก

พระอาจารย์แสง หรือขรัวแสงนั้นท่านเป็นพระอาจารย์ที่เก่งมากองค์หนึ่งในปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา มีชื่อเสียงโด่งดังในสมัยรัชกาลที่ ๒-๓ โดยเฉพาะสมัยรัชกาลที่ ๒ พระพุทธเลิศหล้านภาลัยท่านส่งเสริมวิปัสสนาธุระมาก พระองค์ได้ฟื้นฟูทำนุบำรุงวิทยาการวิปัสสนาธุระ โดยโปรดให้อาราธนาพระภิกษุผู้ทรงคุณวุฒิในทางวิปัสสนาทั้งในกรุง และทุกหัวเมืองทั้งเหนือ ใต้ อีสาน มารับพระราชทานบริขารอันควรแก่สมณะฝ่ายอรัญวาสี แล้วทรงแต่งตั้งเป็นพระอาจารย์บอกกรรมฐาน ครั้นในรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้รับสั่งให้นิมนต์เจ้าประคุณสมเด็จฯ เข้าเฝ้าเพื่อรับพระราชทานแต่งตั้งให้เป็นพระราชาคณะ แต่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้ทรงทูลขอตัวไม่รับพระราชทานสมณศักดิ์ และได้ออกเดินทางไปธุดงค์ในจังหวัดต่างๆ จนถึงกับท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้เลยไปถึงเมืองเขมร ซึ่งขณะนั้นเขมรยังเป็นเมืองขึ้นของไทยอยู่ เพื่อหนีการแต่งตั้งในครั้งนี้ ขรัวโตท่านจึงมีความสนิทสนมกับพระอาจารย์อินทร์ ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของเด็กชายลี...

   Read more
avatar
3.0
1y

Nice Big chedi located in a small park right next to the riverfront. Beautiful small area worth spending 10 min at as a tourist. While you are here you might as Well visit the temple right across this street. Again for sure its beautiful but not something you should travel for hours to see. But if you are in Lop Buri you definately must...

   Read more
Page 1 of 7
Previous
Next

Posts

ณัฐพร เกษสาครณัฐพร เกษสาคร
วัดมณีชลขันท์ เป็นวัดเก่าแก่ริมแม่น้ำลพบุรี เดิมชื่อ วัดเกาะแก้ว เพราะตั้งอยู่กลางแม่น้ำลพบุรีจนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ พระราชทานนามวัดใหม่ว่า วัดมณีชลขันฑ์ทำเลที่ตั้งยังทำให้วัดนี้เปรียบดังประตูเมืองลพบุรี เพราะเป็นทางสายตรงสายเดียวระหว่างลพบุรีและสิงห์บุรี ใครมาเยือนต่างต้องไปชมเจดีย์ที่ก่อเป็นรูปเหลี่ยมสูงชะลูดหรือพระพุทธรูปปางนาคปรกอันแสนงดงามอีกทั้งต้นศรีมหาโพธิ์ พระอุโบสถ พระวิหาร และพระพุทธรูปใหญ่ริมน้ำภายในวัดยังมีการจัดแสดงจารึกบนแผ่นไม้บุษบกธรรมาสน์ วัดมณีชลขัณฑ์ กล่าวถึงประวัติการสร้างบุษบกธรรมาสน์หลังนี้ ด้วยความที่มีมรดกทางวัฒนธรรมมากมายทางกรมศิลปากรจึงประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน นอกจากนี้หากอยากมาชมความคึกคักช่วงเทศกาลเดือนสิบสองทางวัดมีการจัดแข่งเรือและงานเทศกาลลอยกระทงทุกปี ที่นักประวัติศาสตร์สนใจศึกษาความเป็นมาทั้งเรื่องของบุคคล สถานที่ จนมีการค้นพบและรวบรวมเป็นข้อสันนิษฐานไว้หลายเรื่อง อีกทั้งยังมีบางเรื่องที่ให้คำตอบไม่ได้จนทุกวันนี้ วัดมณีชลขันธ์จึงเป็นวัดในประวัติศาสตร์ที่น่าไปเยือน กำเนิดวัดมณีชลขันธ์ คือประวัติศาสตร์ที่ต้องสืบค้นจากหลักฐานทางโบราณวัตถุที่ค้นพบที่นี่ คือ บุษบกธรรมาสน์ ที่เป็นฝีมือของช่างหลวง ที่มีจารึกว่าสร้างเมื่อปี 2225 ทำให้ได้ข้อสรุปว่า วัดแห่งนี้คงสร้างมาก่อนปี พ.ศ.2225 แน่นอน และนั่นคือข้อสรุปว่า ที่นี่น่าจะเป็นวัดในยุคของสมเด็จพระนารายณ์ที่ครองราชย์อยู่ในช่วงปี 2199-2231 วัดเก่าแก่ที่เคยได้รับการบูรณะครั้งใหญ่มาแล้ว เรื่องนี้ก็เช่นกันที่เป็นการยืนยันผ่านหลักฐานจดหมายเหตุที่ยังคงเก็บรักษาไว้เป็นเครื่องยืนยันว่า ที่นี่ซึ่งแต่เดิมเรียกว่า “วัดเกาะแก้ว” ตามลักษณะของทำเลที่ตั้ง มีการบูรณะครั้งใหญ่ในช่วงปี 2397 สมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ หลังจากบูรณะแล้วได้รับการยกขึ้นเป็นพระอารามหลวง ชั้นตรี สังกัดธรรมยุต ส่วนชื่อวัดถูกเปลี่ยนในสมัยรัชกาลที่ 5 ในเวลาต่อมา กำเนิดเจดีย์สีขาวที่งดงามด้วยรูปแบบ ทรง 4 เหลี่ยม ย่อมุมไม้ 12 ลักษณะเหมือนเจดีย์ยุคเชียงแสนของวัดมณีชลขันธ์ บอกเล่าถึงประวัติการก่อสร้างว่า เป็นทั้งฝีมือการออกแบบ และริเริ่มก่อสร้างโดยหลวงพ่อแสง หรือที่รู้จักกันต่อๆ มาว่า “ขรัวแสง” ซึ่งเป็นบุรพาจารย์ของสมเด็จพุฒาจารย์ โต ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวพุทธจนถึงปัจจุบัน หลักฐานยืนยันเรื่องขรัวแสงเป็นผู้สร้างนี้ปรากฏในจดหมายเหตุในรัชสมัยของรัชกาลที่ 5 พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และยังระบุว่า ขรัวแสงนั้นเป็นคนมีวิชา เป็นที่รู้จัก เคารพของชาวลพบุรี และบอกว่าท่านสร้างคนเดียว ไม่ให้ใครช่วย แต่น่าเสียดายที่บุคคลสำคัญท่านนี้ กลับหายไปจากการรับรู้เรื่องราวของผู้คนในเวลาต่อมา ไม่มีใครรู้ว่าท่านไปอยู่ที่ไหนหลังจากเจดีย์สร้างเสร็จ ไม่ทราบแม้แต่ข่าวการมรณภาพ มีเพียงการระลึกถึงด้วยการสร้างวิหาร หล่อรูปเหมือนของท่านไว้บูชา ทั้งรูปหล่อ และหุ่นขี้ผึ้ง เรื่องราวความน่าเคารพในฐานะอาจารย์ของสมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี นับเป็นเรื่องแปลก ชวนฉงนสงสัยว่า บุคคลสำคัญเช่นนี้ ทำไมหายไป หายไปไหน ทำไมไม่มีใครรู้ ไม่มีใครบันทึกไว้ ทั้งที่เป็นที่เคารพ ศรัทธา จากหลักฐานต่อๆ มา เหลือเพียงภาพถ่ายและเรื่องราวที่ยืนยันว่า ท่านมีตัวตนอยู่จริง และน่าเชื่อว่า คุณความดี ตลอดจนคุณวิเศษของท่านน่าจะโดดเด่นกว่าที่ปรากฏหลักฐานเอาไว้ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีคนรุ่นหลังใส่ใจสร้างวัตถุมงคลทดแทนการระลึกถึงท่านแน่ เจดีย์หลวงปู่แสง ตลอดจนรูปปั้นของท่านที่ปรากฏอยู่ในวิหารมีผู้คนมากราบไหว้ตลอด เพราะนับถือในความศักดิ์สิทธิ์ ตามตำนานเล่าว่า เป็นการสร้างเจดีย์ครอบ “แก้วศักดิ์สิทธิ์มหัศจรรย์” เอาไว้ ในด้านชื่อเสียงของหลวงปู่แสงนั้น ส่วนใหญ่ปรากฏตามคำบอกเล่าของเหล่าลูกศิษย์ และเลื่องลือไปไกล รวมถึงตัวท่านเป็นที่เคารพถึงราชวงศ์ในรั้วในวังด้วย ชื่อแสงกับปริศนาชีวิตที่หายไป ยังเป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาวัดและเรื่องราวของท่านพูดถึงคู่กัน จนถึงทุกวันนี้ มีโอกาส นักท่องเที่ยวและศึกษาประวัติศาสตร์รุ่นหลังๆ จึงไปวัดมณีชลขันธ์ วัดที่ทั้งสวยงาม และเก็บประวัติศาสตร์สถานที่และบุคคลไว้ นอกจากนั้น บรรยากาศโดยรอบข้างยังร่มรื่น มีทั้งโพธิ์ใหญ่ที่ได้รับเมล็ดพันธุ์จากพุทธคยา พระพุทธรูปสีขาวขนาดใหญ่ประดิษฐานอยู่กลางแจ้งให้กราบไหว้ พระพุทธรูปปางต่างๆ เป็นเรื่องราวในพุทธประวัติบริเวณฐานโคนต้นโพธิ์ พระอุโบสถ หอระฆังที่ได้รับการดูแลอย่างดี และที่นี่คือโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนและประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่ออนุรักษ์ให้ถึงรุ่นลูกหลานแล้ว ที่อยู่ อยู่ริมถนนลพบุรี-สิงห์บุรี (ทางหลวงหมายเลข 311) บริเวณข้ามแม่น้ำลพบุรี ในตำบล พรหมมาสตร์ อำเภอเมืองลพบุรี
Suphakorn PanyangamSuphakorn Panyangam
มากราบรูปหล่อหลวงปู่แสงอาจารย์ของสมเด็จพระพุฒาจารย์โตพรหมรังสี เป็นพระที่ดีและเก่งมากในสมัยก่อน ไปมาวันที่ 15/9/67 ส่วนประวัติตา มนี้ครับ ประวัติหลวงปู่แสง ที่ปรากฏอยู่ในประวัติหลวงปู่สี พระอรหันต์ ๗ แผ่นดิน จากประวัติหลวงปู่สี วัดถ้ำเขาบุนนาค (พ.ศ.๒๓๙๓ - ๒๕๒๐) ทราบว่าพระอาจารย์ของท่านเคยพาไปถวายตัวเป็นศิษย์ และบวชเณรกับสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ตอนที่ท่านอายุได้ ๑๑ ขวบ "พระอาจารย์ของหลวงปู่สี ชื่อพระอาจารย์อินทร์ พาศิษย์รักเด็กชายลี (หลวงปู่สี) รอนแรมธุดงค์จากป่าลึกดงดิบสุรินทร์ จวบจนบรรลุถึงเมืองเขตสยาม อันเป็นจุดหมายที่พระอาจารย์อินทร์ต้องการธุดงค์มาเยี่ยมสหธรรมมิกของท่าน ที่วัดระฆังนั้น พระอาจารย์อินทร์ ท่านมีความสนิทสนมกับขรัวโต (ครั้งเป็นพระธรรมกิตติ)ตั้งแต่เมื่อคราวที่ขรัวโตท่านไปศึกษาวิปัสสนาธุระกับพระอาจารย์แสง วัดชลมณีขันธ์ ที่ลพบุรี ในยุคพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒) ในสมัยรัชกาลที่ ๒ พระองค์ส่งเสริมวิปัสสนา แต่สำนักที่มีชื่อเสียงที่สุดในยุคนั้นก็คือ สำนักของอาจารย์แสง ลพบุรี พระอาจารย์แสงเป็นพระที่เชี่ยวชาญทางพระกรรมฐานมาก พระอาจารย์แสง หรือขรัวแสงนั้นท่านเป็นพระอาจารย์ที่เก่งมากองค์หนึ่งในปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา มีชื่อเสียงโด่งดังในสมัยรัชกาลที่ ๒-๓ โดยเฉพาะสมัยรัชกาลที่ ๒ พระพุทธเลิศหล้านภาลัยท่านส่งเสริมวิปัสสนาธุระมาก พระองค์ได้ฟื้นฟูทำนุบำรุงวิทยาการวิปัสสนาธุระ โดยโปรดให้อาราธนาพระภิกษุผู้ทรงคุณวุฒิในทางวิปัสสนาทั้งในกรุง และทุกหัวเมืองทั้งเหนือ ใต้ อีสาน มารับพระราชทานบริขารอันควรแก่สมณะฝ่ายอรัญวาสี แล้วทรงแต่งตั้งเป็นพระอาจารย์บอกกรรมฐาน ครั้นในรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้รับสั่งให้นิมนต์เจ้าประคุณสมเด็จฯ เข้าเฝ้าเพื่อรับพระราชทานแต่งตั้งให้เป็นพระราชาคณะ แต่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้ทรงทูลขอตัวไม่รับพระราชทานสมณศักดิ์ และได้ออกเดินทางไปธุดงค์ในจังหวัดต่างๆ จนถึงกับท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้เลยไปถึงเมืองเขมร ซึ่งขณะนั้นเขมรยังเป็นเมืองขึ้นของไทยอยู่ เพื่อหนีการแต่งตั้งในครั้งนี้ ขรัวโตท่านจึงมีความสนิทสนมกับพระอาจารย์อินทร์ ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของเด็กชายลี (หลวงปู่สี)"(บทความจากหนังสือเจ้าขรัวแสง)
Kasper Hammer-HansenKasper Hammer-Hansen
Nice Big chedi located in a small park right next to the riverfront. Beautiful small area worth spending 10 min at as a tourist. While you are here you might as Well visit the temple right across this street. Again for sure its beautiful but not something you should travel for hours to see. But if you are in Lop Buri you definately must see this place
See more posts
See more posts
hotel
Find your stay

Pet-friendly Hotels in Lop Buri

Find a cozy hotel nearby and make it a full experience.

วัดมณีชลขันท์ เป็นวัดเก่าแก่ริมแม่น้ำลพบุรี เดิมชื่อ วัดเกาะแก้ว เพราะตั้งอยู่กลางแม่น้ำลพบุรีจนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ พระราชทานนามวัดใหม่ว่า วัดมณีชลขันฑ์ทำเลที่ตั้งยังทำให้วัดนี้เปรียบดังประตูเมืองลพบุรี เพราะเป็นทางสายตรงสายเดียวระหว่างลพบุรีและสิงห์บุรี ใครมาเยือนต่างต้องไปชมเจดีย์ที่ก่อเป็นรูปเหลี่ยมสูงชะลูดหรือพระพุทธรูปปางนาคปรกอันแสนงดงามอีกทั้งต้นศรีมหาโพธิ์ พระอุโบสถ พระวิหาร และพระพุทธรูปใหญ่ริมน้ำภายในวัดยังมีการจัดแสดงจารึกบนแผ่นไม้บุษบกธรรมาสน์ วัดมณีชลขัณฑ์ กล่าวถึงประวัติการสร้างบุษบกธรรมาสน์หลังนี้ ด้วยความที่มีมรดกทางวัฒนธรรมมากมายทางกรมศิลปากรจึงประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน นอกจากนี้หากอยากมาชมความคึกคักช่วงเทศกาลเดือนสิบสองทางวัดมีการจัดแข่งเรือและงานเทศกาลลอยกระทงทุกปี ที่นักประวัติศาสตร์สนใจศึกษาความเป็นมาทั้งเรื่องของบุคคล สถานที่ จนมีการค้นพบและรวบรวมเป็นข้อสันนิษฐานไว้หลายเรื่อง อีกทั้งยังมีบางเรื่องที่ให้คำตอบไม่ได้จนทุกวันนี้ วัดมณีชลขันธ์จึงเป็นวัดในประวัติศาสตร์ที่น่าไปเยือน กำเนิดวัดมณีชลขันธ์ คือประวัติศาสตร์ที่ต้องสืบค้นจากหลักฐานทางโบราณวัตถุที่ค้นพบที่นี่ คือ บุษบกธรรมาสน์ ที่เป็นฝีมือของช่างหลวง ที่มีจารึกว่าสร้างเมื่อปี 2225 ทำให้ได้ข้อสรุปว่า วัดแห่งนี้คงสร้างมาก่อนปี พ.ศ.2225 แน่นอน และนั่นคือข้อสรุปว่า ที่นี่น่าจะเป็นวัดในยุคของสมเด็จพระนารายณ์ที่ครองราชย์อยู่ในช่วงปี 2199-2231 วัดเก่าแก่ที่เคยได้รับการบูรณะครั้งใหญ่มาแล้ว เรื่องนี้ก็เช่นกันที่เป็นการยืนยันผ่านหลักฐานจดหมายเหตุที่ยังคงเก็บรักษาไว้เป็นเครื่องยืนยันว่า ที่นี่ซึ่งแต่เดิมเรียกว่า “วัดเกาะแก้ว” ตามลักษณะของทำเลที่ตั้ง มีการบูรณะครั้งใหญ่ในช่วงปี 2397 สมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ หลังจากบูรณะแล้วได้รับการยกขึ้นเป็นพระอารามหลวง ชั้นตรี สังกัดธรรมยุต ส่วนชื่อวัดถูกเปลี่ยนในสมัยรัชกาลที่ 5 ในเวลาต่อมา กำเนิดเจดีย์สีขาวที่งดงามด้วยรูปแบบ ทรง 4 เหลี่ยม ย่อมุมไม้ 12 ลักษณะเหมือนเจดีย์ยุคเชียงแสนของวัดมณีชลขันธ์ บอกเล่าถึงประวัติการก่อสร้างว่า เป็นทั้งฝีมือการออกแบบ และริเริ่มก่อสร้างโดยหลวงพ่อแสง หรือที่รู้จักกันต่อๆ มาว่า “ขรัวแสง” ซึ่งเป็นบุรพาจารย์ของสมเด็จพุฒาจารย์ โต ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวพุทธจนถึงปัจจุบัน หลักฐานยืนยันเรื่องขรัวแสงเป็นผู้สร้างนี้ปรากฏในจดหมายเหตุในรัชสมัยของรัชกาลที่ 5 พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และยังระบุว่า ขรัวแสงนั้นเป็นคนมีวิชา เป็นที่รู้จัก เคารพของชาวลพบุรี และบอกว่าท่านสร้างคนเดียว ไม่ให้ใครช่วย แต่น่าเสียดายที่บุคคลสำคัญท่านนี้ กลับหายไปจากการรับรู้เรื่องราวของผู้คนในเวลาต่อมา ไม่มีใครรู้ว่าท่านไปอยู่ที่ไหนหลังจากเจดีย์สร้างเสร็จ ไม่ทราบแม้แต่ข่าวการมรณภาพ มีเพียงการระลึกถึงด้วยการสร้างวิหาร หล่อรูปเหมือนของท่านไว้บูชา ทั้งรูปหล่อ และหุ่นขี้ผึ้ง เรื่องราวความน่าเคารพในฐานะอาจารย์ของสมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี นับเป็นเรื่องแปลก ชวนฉงนสงสัยว่า บุคคลสำคัญเช่นนี้ ทำไมหายไป หายไปไหน ทำไมไม่มีใครรู้ ไม่มีใครบันทึกไว้ ทั้งที่เป็นที่เคารพ ศรัทธา จากหลักฐานต่อๆ มา เหลือเพียงภาพถ่ายและเรื่องราวที่ยืนยันว่า ท่านมีตัวตนอยู่จริง และน่าเชื่อว่า คุณความดี ตลอดจนคุณวิเศษของท่านน่าจะโดดเด่นกว่าที่ปรากฏหลักฐานเอาไว้ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีคนรุ่นหลังใส่ใจสร้างวัตถุมงคลทดแทนการระลึกถึงท่านแน่ เจดีย์หลวงปู่แสง ตลอดจนรูปปั้นของท่านที่ปรากฏอยู่ในวิหารมีผู้คนมากราบไหว้ตลอด เพราะนับถือในความศักดิ์สิทธิ์ ตามตำนานเล่าว่า เป็นการสร้างเจดีย์ครอบ “แก้วศักดิ์สิทธิ์มหัศจรรย์” เอาไว้ ในด้านชื่อเสียงของหลวงปู่แสงนั้น ส่วนใหญ่ปรากฏตามคำบอกเล่าของเหล่าลูกศิษย์ และเลื่องลือไปไกล รวมถึงตัวท่านเป็นที่เคารพถึงราชวงศ์ในรั้วในวังด้วย ชื่อแสงกับปริศนาชีวิตที่หายไป ยังเป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาวัดและเรื่องราวของท่านพูดถึงคู่กัน จนถึงทุกวันนี้ มีโอกาส นักท่องเที่ยวและศึกษาประวัติศาสตร์รุ่นหลังๆ จึงไปวัดมณีชลขันธ์ วัดที่ทั้งสวยงาม และเก็บประวัติศาสตร์สถานที่และบุคคลไว้ นอกจากนั้น บรรยากาศโดยรอบข้างยังร่มรื่น มีทั้งโพธิ์ใหญ่ที่ได้รับเมล็ดพันธุ์จากพุทธคยา พระพุทธรูปสีขาวขนาดใหญ่ประดิษฐานอยู่กลางแจ้งให้กราบไหว้ พระพุทธรูปปางต่างๆ เป็นเรื่องราวในพุทธประวัติบริเวณฐานโคนต้นโพธิ์ พระอุโบสถ หอระฆังที่ได้รับการดูแลอย่างดี และที่นี่คือโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนและประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่ออนุรักษ์ให้ถึงรุ่นลูกหลานแล้ว ที่อยู่ อยู่ริมถนนลพบุรี-สิงห์บุรี (ทางหลวงหมายเลข 311) บริเวณข้ามแม่น้ำลพบุรี ในตำบล พรหมมาสตร์ อำเภอเมืองลพบุรี
ณัฐพร เกษสาคร

ณัฐพร เกษสาคร

hotel
Find your stay

Affordable Hotels in Lop Buri

Find a cozy hotel nearby and make it a full experience.

Get the Appoverlay
Get the AppOne tap to find yournext favorite spots!
มากราบรูปหล่อหลวงปู่แสงอาจารย์ของสมเด็จพระพุฒาจารย์โตพรหมรังสี เป็นพระที่ดีและเก่งมากในสมัยก่อน ไปมาวันที่ 15/9/67 ส่วนประวัติตา มนี้ครับ ประวัติหลวงปู่แสง ที่ปรากฏอยู่ในประวัติหลวงปู่สี พระอรหันต์ ๗ แผ่นดิน จากประวัติหลวงปู่สี วัดถ้ำเขาบุนนาค (พ.ศ.๒๓๙๓ - ๒๕๒๐) ทราบว่าพระอาจารย์ของท่านเคยพาไปถวายตัวเป็นศิษย์ และบวชเณรกับสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ตอนที่ท่านอายุได้ ๑๑ ขวบ "พระอาจารย์ของหลวงปู่สี ชื่อพระอาจารย์อินทร์ พาศิษย์รักเด็กชายลี (หลวงปู่สี) รอนแรมธุดงค์จากป่าลึกดงดิบสุรินทร์ จวบจนบรรลุถึงเมืองเขตสยาม อันเป็นจุดหมายที่พระอาจารย์อินทร์ต้องการธุดงค์มาเยี่ยมสหธรรมมิกของท่าน ที่วัดระฆังนั้น พระอาจารย์อินทร์ ท่านมีความสนิทสนมกับขรัวโต (ครั้งเป็นพระธรรมกิตติ)ตั้งแต่เมื่อคราวที่ขรัวโตท่านไปศึกษาวิปัสสนาธุระกับพระอาจารย์แสง วัดชลมณีขันธ์ ที่ลพบุรี ในยุคพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒) ในสมัยรัชกาลที่ ๒ พระองค์ส่งเสริมวิปัสสนา แต่สำนักที่มีชื่อเสียงที่สุดในยุคนั้นก็คือ สำนักของอาจารย์แสง ลพบุรี พระอาจารย์แสงเป็นพระที่เชี่ยวชาญทางพระกรรมฐานมาก พระอาจารย์แสง หรือขรัวแสงนั้นท่านเป็นพระอาจารย์ที่เก่งมากองค์หนึ่งในปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา มีชื่อเสียงโด่งดังในสมัยรัชกาลที่ ๒-๓ โดยเฉพาะสมัยรัชกาลที่ ๒ พระพุทธเลิศหล้านภาลัยท่านส่งเสริมวิปัสสนาธุระมาก พระองค์ได้ฟื้นฟูทำนุบำรุงวิทยาการวิปัสสนาธุระ โดยโปรดให้อาราธนาพระภิกษุผู้ทรงคุณวุฒิในทางวิปัสสนาทั้งในกรุง และทุกหัวเมืองทั้งเหนือ ใต้ อีสาน มารับพระราชทานบริขารอันควรแก่สมณะฝ่ายอรัญวาสี แล้วทรงแต่งตั้งเป็นพระอาจารย์บอกกรรมฐาน ครั้นในรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้รับสั่งให้นิมนต์เจ้าประคุณสมเด็จฯ เข้าเฝ้าเพื่อรับพระราชทานแต่งตั้งให้เป็นพระราชาคณะ แต่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้ทรงทูลขอตัวไม่รับพระราชทานสมณศักดิ์ และได้ออกเดินทางไปธุดงค์ในจังหวัดต่างๆ จนถึงกับท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้เลยไปถึงเมืองเขมร ซึ่งขณะนั้นเขมรยังเป็นเมืองขึ้นของไทยอยู่ เพื่อหนีการแต่งตั้งในครั้งนี้ ขรัวโตท่านจึงมีความสนิทสนมกับพระอาจารย์อินทร์ ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของเด็กชายลี (หลวงปู่สี)"(บทความจากหนังสือเจ้าขรัวแสง)
Suphakorn Panyangam

Suphakorn Panyangam

hotel
Find your stay

The Coolest Hotels You Haven't Heard Of (Yet)

Find a cozy hotel nearby and make it a full experience.

hotel
Find your stay

Trending Stays Worth the Hype in Lop Buri

Find a cozy hotel nearby and make it a full experience.

Nice Big chedi located in a small park right next to the riverfront. Beautiful small area worth spending 10 min at as a tourist. While you are here you might as Well visit the temple right across this street. Again for sure its beautiful but not something you should travel for hours to see. But if you are in Lop Buri you definately must see this place
Kasper Hammer-Hansen

Kasper Hammer-Hansen

See more posts
See more posts