คนอยุธยาในอดีตจะคุ้นกับชื่อวังจันทรเกษม กันเพราะเป็นสถานที่จำหน่ายของกินและของใช้ทั้งตอนเช้าและตอนเย็นรวมทั้งมีตลาดพระเครื่อง นาทีนั้นทุกคนจะต้องมาที่หน้าวัง แต่มีไม่น้อยที่ไม่ทราบว่าที่วังจันทรเกษม เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอยู่ด้วย อาจจะเป็นด้วยชื่อป้ายของพิพิธภัณฑ์ไม่เด่นก็เป็นได้
อยุธยาเมืองราชธานีเก่าของเราที่มีอายุยืนยาวกว่า 400 ปีมีประวัติศาสตร์มากมาย จนได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลก มีพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติถึง 2 แห่งเช่นเดียวกับอีก 4 จังหวัด( สุโขทัย อยุธยา สุพรรณบุรี นครราชสีมา สงขลา ) พิพิธภัณฑ์อีกแห่งที่อยุธยาคือพิพิธภัณฑเจ้าสามพระยา
พระราชวังจันทรเกษม สร้างสมัยพระมหาธรรมราชา เมื่อพุทธศักราช 2120 เพื่อเป็นที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และต่อมาได้เป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์และพระมหาอุปราชที่สำคัญหลายพระองค์เช่นสมเด็จพระเอกาทศรถ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระเจ้าเสือ ภายหลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ในพุทธศักราช 2310 พระราชวังแห่งนี้ถูกทิ้งร้างไป จนกระทั่งในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 จึงได้มีการบูรณะและปรับปรุงพระราชวังขึ้นใหม่เพื่อใช้สำหรับเป็นที่ประทับในเวลาที่พระองค์เสด็จประพาสอยุธยา ซึ่งพระองค์ได้เสด็จมาประทับที่นี่หลายครั้งและพระราชทานนามพระราชวังว่า “ พระราชวังจันทรเกษม” ตามชื่อพระราชวังจันทน์ที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวรที่เมืองพิษณุโลก
ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ให้ใช้พระราชวังเป็นที่ทำการมณฑลกรุงเก่า โดยใช้พระที่นั่งพิมานรัตยาเป็นที่ทำการ ด้วยความที่ส่วนใหญ่สร้างในสมัยรัชกาลที่4 จึงมีสิ่งปลูกสร้างที่เป็นเอกลักษณ์ของพระองค์สิ่งหนึ่งคือ หอพิสัยศัลลักษณ์ เป็นหอส่องกล้องเพื่อทรงใช้ศึกษาดาราศาสตร์ เช่นเดียวกับพระนครคีรีที่เขาวัง เพชรบุรี พระองค์ให้สร้างหอชัชวาลเวียงชัย ไว้บนยอดเขาวังเพื่อใช้เป็นที่ทอดพระเนตรดวงดาว ต่อมาได้ใช้พระราชวังนี้เป็นที่ทำการมณฑลเทศาภิบาล ศาลากลางจังหวัด และปัจจุบันเป็นที่ตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจันทรเกษม
พระยาโบราณราชธานินทร์ สมุหเทศาภิบาลมณฑลกรุงเก่า( 2449-2472 )เป็นผู้ที่รวบรวมโบราณวัตถุที่สำคัญในบริเวณกรุงเก่าและใกล้เคียงไว้เป็นจำนวนมากในพระราชวังจันทรเกษมแห่งนี้ ต่อมากรมศิลปากรได้เข้ามาดำเนินการจัดแสดงและประกาศให้เป็น“พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติในส่วนภูมิภาคแห่งแรกของประเทศไทย ซึ่งในอาคารมหาดไทยได้จัดเป็นห้องที่ระลึกให้กับพระยาโบราณราชธานินทร์ เพื่อเป็นเกียรติสำหรับท่าน พระราชวังมีลักษณะสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีกำแพงรอบ อาคารภายในจึงปลูกตามแนวกำแพง มีสนามหญ้าตรงกลาง อาคารที่สำคัญคือ พลับพลาจตุรมุข อยู่ด้านซ้ายมือเป็นอาคารจตุรมุขแฝด ที่หน้าบันทั้ง 6 ด้านมีตราพระราชลัญจกรไม่ซ้ำกัน ใช้เป็นท้องพระโรงสำหรับออกว่าราชการและที่ประทับ พลับพลานี้จะเหมือนกับพระนครคีรีอยู่หนึ่งอย่างคือ มีเกย เช่นเดียวกัน ภายในพลับพลาจะเป็นข้าวของเครื่องใช้ของพระองค์ท่าน ตอนนี้ทางพิพิธภัณฑ์อนุญาตให้ถ่ายภาพด้านในได้แล้ว
High Light ของใช้ส่วนพระองค์รัชกาลที่ 4 ในพลับพลานี้มี 2 สิ่ง สิ่งแรก “พระแท่นบรรทม ”เป็นไม้จำหลัก ลงรักปิดทอง ประดับกระจก สวยงาม สิ่งที่สองเป็น “พระเก้าอี้” ไม้พยุงปรับเอนนอนได้เป็นระยะ พนักพิงฉลุลายแจกันดอกไม้และลายเครือเถา ที่เท้าแขนและที่นั่งมีเบาะหุ้มด้วยผ้าปัก ขาทั้ง 4 ข้างติดล้อเลื่อน ฝีมือช่างจีน
พระที่นั่งพิมานรัตยา อยู่ถัดจากพลับพลาจตุรมุขเข้าไป เป็นหมู่อาคารที่สร้างใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 4 ตามแนวฐานรากเดิมสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นศิลปะผสมระหว่างยุโรปกับจีน เคยเป็นที่ทำการมณฑลกรุงเก่า ปัจจุบันจัดแสดงวัตถุโบราณประเภทพระเครื่องหลายยุคที่สำคัญไว้ในพระที่นั่งแห่งนี้ เช่นพระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ทั้งปางประทานอภัยและปางมารวิชัย พระพุทธรูปปางสมาธิ พระเทวดา ศิลปะอยุธยา พระคเณศ ศิลปะลพบุรี ขอบอกนิดบันไดขึ้นพระที่นั่งแต่ละขั้นสูงมากๆ บ่งบอกว่าคนในสมัยนั้นรูปร่างสูงใหญ่ ขายาว
อาคารมหาดไทย ลักษณะเป็นตัวแอล สร้างในสมัยรัชกาลที่ 6 แล้วย้ายที่ทำการมณฑลกรุงเก่าจากพระที่นั่งพิมานรัตยามายังอาคารหลังนี้ ปัจจุบันใช้จัดแสดงวัตถุโบราณที่สำคัญให้ชมมากมายเช่น เก๋งเรือ จำหลักไม้ปิดทอง ตู้พระธรรม ลงรักปิดทอง นภศูล ศิลปะอยุธยาพุทธศตวรรษที่ 20 มาอยุธยากันแล้วเชิญมาเข้าวังกันสักครั้ง ครบทั้งวังและพิพิธภัณฑ์แล้วท่านจะรักอยุธยามากขึ้น… แถมท้ายด้วยพื้นทุกอาคารเป็นพื้นไม้สัก ขัดมัน สวยงาม การเข้าชมจึงต้องถอดรองเท้า...
Read moreI am as foreigner who seek a bit of history about the debris of temples that lies all over Ayutthaya.. This really conventional like museum. Cannot give any knowledge if u come here alone.. This museum only able to be fully function for the locals.. maybe.. The staff cannot speak English. I am sure all of the collections they have are precious, but because no proper meaningful explanation, it become meaningless.. I suggest u to make it more interesting, with stories, with audio and visual facilities, like they did in ChiangMai City Arts & Cultural Centre .. Bring the visitor return to d past, as if we are in that age.. Make our more than 3 times admission fee worth it.. Otherwise, it will only be a collections of antiques without any meaning... I gave an extra star because ur staffs, though they can't speak English (while I am sure they equipped with knowledge of the collections they are maintained), still they are nice enough to try.. Attitude is...
Read moreพระราชวังจันทรเกษมที่สร้างขึ้นใหม่ในรัชกาลที่ ๔ (เดิมคือวังหน้า หรือวังที่ประทับของสมเด็จพระมหาอุปราชในสมัยกรุงศรีอยุธยา) . “...วังน่าแรกมีขึ้นในแผ่นดินสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช เมื่อราวปีวอก พ.ศ.๒๑๑๕ เข้าใจว่าแรกเรียกว่า "วังจันทรเกษม" นั้น ในแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราช วังน่าได้เปนที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน ๓ ครั้ง คือ แผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราชครั้ง ๑ แผ่นดินสมเด็จพระนารายน์มหาราชครั้ง ๑ แผ่นดินสมเด็จพระเจ้าบรมโกษฐครั้ง ๑
พระมหาอุปราชที่ได้เสด็จประทับที่วังจันทรเกษมมี ๘ พระองค์ คือ สมเด็จพระนเรศวรพระองค์ ๑ สมเด็จพระเอกาทศรถพระองค์ ๑ เจ้าฟ้าสุทัศน์พระองค์ ๑ สมเด็จพระนารายน์พระองค์ ๑ พระเจ้าเสือ (เปนแรกที่ปรากฏพระนามว่า กรมพระราชวังบวรสถานมงคล) พระองค์ ๑ พระเจ้าท้ายสระพระองค์ ๑ พระเจ้าบรมโกษฐพระองค์ ๑ กรมพระราชวังบวรมหาเสนาพิทักษ์ (เปนที่สุด) พระองค์ ๑ . พระราชมณเฑียรสถานที่ต่างๆ ในวังจันทรเกษม ซึ่งเปนของเก่าสร้างมาตั้งแต่ครั้งสมเด็จพระนเรศวรมหาราช แลสมเด็จพระนารายน์มหาราช ตลอดมาจนสมเด็จพระเจ้าบรมโกษฐ เห็นจะเป็นอันตรายสูญไปเสียเมื่อไฟไหม้ ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าบรมโกษฐโดยมาก ที่สร้างใหม่ชั้นหลังสำหรับกรมพระราชวังบรวรมหาเสนาพิทักษ์ เข้าใจว่า เห็นจะทำแต่เปนสถานประมาณพอเสด็จได้อยู่ หมดของดีงามมาแต่ครั้งนั้นชั้นหนึ่งแล้ว ครั้นเสียกรุงเก่า วังจันทรเกษมเปนที่ทิ้งร้างทรุดโทรมมาอีกกว่า ๘๐ ปี ทั้งรื้อเอาอิฐมาสร้างกำแพงพระนครรัตนโกสินทรเมื่อในรัชกาลที่ ๑ แล้วรื้อเอามาสร้างพระอารามเมื่อในรัชกาลที่ ๓ เสียเปนอันมาก...
Read more