หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า “พระสังฆราชไก่เถื่อน” ปรากฏอยู่ในพงศาวดารหลายแห่ง และแปลกใจในฉายาของสมเด็จพระสังฆราชองค์นี้ ซึ่งเรื่องราวของท่านเล่ากันมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ท่านไม่ได้เป็นพระที่มีชื่อเสียงทางอิทธิปาติหาริย์เวทมนต์คาถาใดๆ แต่เลื่องลือในด้านมีเมตตาธรรมสูง แม้แต่ไก่ป่าที่ไม่มีความไว้วางใจในมนุษย์ ใครเลี้ยงอย่างไรก็ไม่ยอมเชื่อง แต่กลับมาอยู่ในวัดเดินตามท่านเป็นฝูง มีความเชื่องเหมือนเป็นไก่วัด
พระสังราชไก่เถื่อน คือสมญานามของ สมเด็จพระอริยวงษญาณ (สุก ญาณสังวร) สังฆราชองค์ที่ ๔ ของกรุงรัตนโกสินทร์ ประสูติในปี ๒๒๗๗ รัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ อุปสมบทเป็นเณรที่วัดท่าข่อย ซึ่งเป็นวัดประจำตระกูลของท่านโดยทวดเป็นผู้สร้าง อยู่ในคลองปทาคูจาม ใกล้กับวัดพุทไธยศวรรย์ ปัจจุบันวัดท่าข่อยเป็นวัดร้างหลังจากมีชื่อใหม่ว่า วัดท่าหอย ทั้งนี้เนื่องจากพวกแขกจามที่เป็นเชลยศึกครั้งกรุงธนบุรีเข้ามาตั้งบ้านเรือนในย่านนี้ และสำเนียงเรียกวัดท่าข่อยเพี้ยนไปเป็นท่าหอย
สังฆราชไก่เถื่อนเป็นพระป่าฝ่ายวิปัสสนาธุระ รักความสงบวิเวกและมีเมตตาเปี่ยมล้นมาตั้งแต่เด็ก มักจะหลบไปหาความสงบในป่าโปร่งหลังบ้าน นั่งตามโคนต้นไม้ทำจิตวิเวก และแผ่เมตตาไปยังสัตว์ป่าทั้งหลายที่อยู่ในย่านนั้น กระแสจิตของท่านทำให้สัตว์เหล่านั้นรับรู้ได้ ไม่ว่าลิง นก หรือไก่ป่า จึงไม่ได้หลบหนีเพราะกลัวเกรงท่าน เชื่องจนเข้ามาอยู่ใกล้ๆ นานเข้าก็ไว้ใจกันมากขึ้นจนใกล้ชิด เมื่อท่านอุปสมบท สัตว์เหล่านั้นโดยเฉพาะไก่ป่าก็เข้ามาอยู่ในวัด และเดินตามท่านเป็นฝูงเหมือนเป็นไก่บ้านไก่วัด เป็นที่แปลกใจของผู้พบเห็นไปตามกัน
ในสมัยรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้ทรงสร้างวัดหลวงขึ้นใหม่ใกล้กับวัดพลับซึ่งเป็นวัดสำคัญฝ่ายอรัญวาสีของกรุงธนบุรี แล้วโปรดเกล้าฯให้รวมวัดทั้ง ๒ เข้าด้วยกัน อาราธนาพระญาณสังวรเถร (สุก) พระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาธุระ จากวัดท่าหอย อยุธยา ที่เคยเสด็จไปพบและทรงเลื่อมใสศรัทธามาเป็นเจ้าอาวาส ทั้งยังโปรดให้พระเจ้าลูกยาเธอและพระบรมวงศานุวงศ์มาศึกษาวิปัสสนากรรมฐานกับพระญาณสังวรเถร ทำให้วัดพลับเป็นสำนักปฏิบัติธรรมที่สำคัญมาแต่ยุคนั้น มีกษัตริย์เป็นลูกศิษย์ถึง ๔ พระองค์ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑-๔ ต่อมาในรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งเคยมาจำพรรษาอยู่ที่วัดพลับตอนทรงผนวช ได้พระราชทานนามวัดพลับใหม่ว่า วัดราชสิทธาราม
ที่วัดพลับตอนที่ท่านมาจำพรรษา โดยรอบก็ยังเป็นป่าโปร่ง เรียกกันว่า ป่าวัดพลับ มีไก่ป่าและนกอยู่มาก สัตว์เหล่านี้ก็เข้ามาอยู่ในวัด และส่งเสียงร้องและขันกันอย่างเจื้อยแจ้ว แต่เมื่อใดที่ท่านไม่ได้อยู่ในวัดเสียงไก่เสียงนกเหล่านี้ก็เงียบสงบ และพากันเจื้อยแจ้วอีกเมื่อท่านกลัมมา นับเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ ใน พ.ศ.๒๓๖๒ สมเด็จพระสังฆราชมี ซึ่งเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๓ สิ้นพระชนม์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยสถาปนาสมเด็จพระญาณสังวร (สุก) ขึ้นเป็น สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๔ โดยให้ท่านย้ายไปจำพรรษาที่วัดมหาธาตุฯซึ่งเป็นวัดหลวง เช่นเดียวกับสังฆราชก่อนหน้านั้น ๒ พระองค์ โดยมีข้อความในคำประกาศสถาปนาตอนท้ายว่า
“...เป็นประธานถานาทุกคณานิกร จัตุพิธบรรพสัช สถิตในวัดพระศรีรัตนมหาธาตุบวรวิหาร พระอารามหลวง”
แต่สมเด็จพระสังฆราชสุกก็ไม่ได้เสด็จไปสถิตวัดมหาธาตุฯตามใบประกาศ เพราะท่านเป็นพระป่า ทรงคุ้นเคยกับการอยู่ในที่เงียบสงบ จึงคงสถิตอยู่ ณ วัดราชสิทธาราม อันเป็นผาสุกวิหารของท่านจวบจนสิ้นพระชนม์ อาจจะเป็นเพราะวัดมหาธาตุไม่มีไก่ป่าก็เป็นได้ ผู้คนจึงเรียกนามของท่านว่า “สังฆราชไก่เถื่อน” ตลอดมา
สมเด็จพระอริยวงษญาณ (สุก) สิ้นพระชนม์ในวันที่ ๔ กันยายน พ.ศ.๒๓๖๕ พระชันษาได้ ๘๙ ปี ๒๔๒ วัน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯพระราชทานโกศทองใหญ่บรรจุพระศพ ซึ่งเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์นี้เพียงพระองค์เดียวที่ได้รับการถวายระเกียรติสูงเช่นนี้
ปัจจุบัน วัดราชสิทธารามหรือวัดพลับ นอกจากมีความสำคัญในการศึกษาวิปัสสนากรรมฐาน มีพิพิธภัณฑ์กรรมฐานหุ่นขี้ผึ้งสังฆราชสุกไก่เถื่อนแล้ว ยังมีหุ่นขี้ผึ้งของเจ้าอาวาสวัดนี้อีก ๔ องค์ และหุ่นขี้ผึ้งของสมเด็จพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี พร้อมทั้งรวบรวมอัฐบริขารที่สังฆราชไก่เถื่อนเคยใช้และได้รับพาระราชทาน รวบรวมมาจัดแสดงไว้ รอบพระอุโบสถของวัดราชสิทธารามไม่ได้ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้วหรือระเบียงคดเหมือนวัดอื่นๆ แต่ล้อมรอบด้วยกุฏิวิปัสสนาจำนวน ๒๔ หลัง ส่วนพระพุทธจุฬารักษ์ ซึ่งเป็นพระประธานในพระอุโบสถก็เป็นฝีพระหัตถ์ของกษัตริย์ ๒ พระองค์ที่เป็นลูกศิษย์ของสังฆราชไก่เถื่อน คือรัชกาลที่ ๒ ทรงปั้นพระเศียร และรัชกาลที่ ๓ ทรงปั้นองค์พระ
พระตำหนักจันทร์ พระตำหนักเล็กขาด ๒ ห้อง สร้างด้วยไม้จันทร์ทั้งหลัง เป็นตำหนักที่รัชกาลที่ ๒ ทรงสร้างพระราชทานรัชกาลที่ ๓ เมื่อทรงผนวชและมาจำพรรษาที่วัดนี้...
Read moreวัดราชสิทธาราม ราชวรวิหาร
วัดราชสิทธาราม เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดราชวรวิหาร เดิมเรียกว่า วัดพลับ เป็นวัดอรัญวาสี (วัดป่า) เก่าแก่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เริ่มมีความสำคัญขึ้นมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงโปรดให้สร้างพระอารามหลวงใหม่ติดกับวัดพลับ แล้วโปรดให้รวมเป็นวัดเดียวกัน เพื่อให้เป็นที่จำพรรษาของพระญาณสังวรเถร (สุก) พระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ทรงเคารพเลื่อมใส และโปรดให้พระบรมวงศานุวงศ์มาศึกษากรรมฐานกับพระญาณสังวรเถร ทำให้วัดราชสิทธารามเป็นสำนักปฏิบัติธรรมที่สำคัญมาแต่ครั้งนั้น แม้ต่อมาพระญาณสังวรเถรจะได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช ย้ายไปประทับ ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร ศิษย์ของพระองค์ยังคงสืบทอดกรรมฐานต่อมา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โปรดให้บูรณะและสร้างเสนาสนะเพิ่มเติม เช่น พระเจดีย์ พระวิหาร ศาลาการเปรียญ และตำหนักเก๋งจีน เนื่องจากเคยมาประทับจำพรรษาที่วัดแห่งนี้เมื่อทรงผนวช เป็นเวลา 1 พรรษา และพระราชทานนามใหม่ว่าวัดราชสิทธารามตั้งแต่ปี พ.ศ. 2374 โดยเฉพาะพระเจดีย์นั้นต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้บูรณะและพระราชทานนามว่า พระสิริจุมภฏะเจดีย์ พระอุโบสถ มีกุฏิวิปัสสนาขนาดเล็กโดยรอบจำนวน 24 หลัง ( ภายในมีแท่นประดิษฐานพระพุทธรูป และแท่นนั่งวิปัสสนาสำหรับพระภิกษุ กุฏิหน้าด้านซ้ายของพระอุโบสถ ประดิษฐานรูปหล่อสมเด็จพระญาณสังวร (สุก) พระพุทธจุฬารักษ์ พระประธานในพระอุโบสถ เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นลงรักปิดทอง ปางมารวิชัย มีเรื่องเล่าขานว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ทรงปั้นพระเศียรพระพุทธรูป พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัสรัชกาลที่ 3 ทรงปั้นองค์พระ หน้าองค์พระประธานประดิษฐานรูปหล่อพระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร และพระอานนท์ ผนังในพระอุโบสถด้านซ้ายของพระประธานมีภาพเขียนสีพุทธประวัติ
พระวิหาร มี 2 หลัง หลังแรก เดิมสร้างพร้อมกับพระอุโบสถ ที่ผนังทาสีแดงทาสีแดง จึงเรียก พระวิหารแดง ปัจจุบันได้รื้อสร้างใหม่แล้ว ส่วนพระวิหารอีกหลังหนึ่ง เป็นพระวิหารพระพุทธเมตตาจำลองและรอยพระพุทธบาทจำลอง
พระศิราสนเจดีย์ และพระศิรจุมภฏเจดีย์ เป็นเจดีย์คู่หน้าพระอุโบสถ ทรงลังกา ลักษณะพิเศษคือ มีสร้อย สังวาลย์ ประดับอยู่บนเจดีย์ เรียกเจดีย์ลักษณะนี้ว่า เจดีย์ทรงเครื่อง
พระราชประวัติ สมเด็จพระอริยวงษญาณ พระนามเดิม สุก เป็นสมเด็จพระสังฆราชไทยพระองค์ที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร ได้รับการสถาปนาเมื่อปี พ.ศ. 2363 อยู่ในตำแหน่ง 3 ปี สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2365 สิริพระชันษาได้ 89 ปี 272 วัน พระองค์ประสูติเมื่อวันศุกร์ ขึ้น 10 ค่ำ เดือนยี่ ปีฉลู จ.ศ. 1095 ตรงกับวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2276 ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศแห่งอาณาจักรอยุธยา ในสมัยกรุงธนบุรี ได้เป็นพระอธิการอยู่วัดท่าหอย แขวงรอบกรุงเก่า มีพระเกียรติคุณในทางวิปัสสนาธุระ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้โปรดให้นิมนต์พระองค์มาอยู่ที่วัดพลับ (วัดราชสิทธารามราชวรวิหาร) และให้เป็นพระราชาคณะที่พระญาณสังวรเถร พระองค์เป็นพระอาจารย์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ตั้งแต่ยังอยู่ที่วัดท่าหอย การที่โปรดให้นิมนต์มาอยู่ที่วัดพลับ ก็เนื่องจากเป็นวัดสำคัญฝ่ายอรัญวาสีของกรุงธนบุรี ซึ่งต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้รับพระราชทานชื่อใหม่ว่า วัดราชสิทธาราม เมื่อครั้งเกิดอหิวาตกโรคระบาดในกรุงเทพฯ เมื่อปี พ.ศ. 2363 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงให้ตั้งพระราชพิธีอาพาธพินาศ โดยพระองค์ทรงศีลและให้ตั้งโรงทาน ส่วนสมเด็จพระสังฆราชทรงให้สังคายนาบทสวดมนต์ในพระราชพิธีดังกล่าว ชาวบ้านทั่วไปมักเรียกพระองค์ว่า "พระสังฆราชไก่เถื่อน" เพราะร่ำลือกันว่า...
Read moreI love the layout of this temple site with its discreet courtyards and accessible buildings. Some kind of ceremony was taking place whilst I was there involving the shaving of a baby's head by a female monk. I was able to access three buildings, the most beautiful of which was the Ubosot in a separate courtyard. The beautiful murals in the Ubosot need some restoration as some of the plaster is damaged, but it in no way detracts from my overall experience of this place. Very spacious grounds and attractive wooden buildings for the monks accommodation. It's definitely worth the...
Read more