... คุ้มเจ้าหลวงพิริยเทพวงศ์ ... . “ คุ้มเจ้าหลวง สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2435 โดยเจ้าพิริยเทพวงษ์ คุ้มแห่งนี้เป็นอาคารโอ่โถง มีประตู หน้าต่างทั้งหมด 72 บาน งดงามด้วยลวดลายฉลุไม้อยู่ด้านบนปั้นลม และชายคาน้ำ เป็นสถาปัตยกรรมสมัยรัชกาลที่ 5 ยุคต้น ซึ่งมีรูปทรงเป็นแบบสถาปัตยกรรมไทยผสมยุโรป หรือทรงขนมปังขิง ซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยนั้น และจัดงานฉลองอย่างยิ่งใหญ่ในปีพ.ศ. 2435 คุ้มนี้งดงามใหญ่โตเพราะเงินคงคลังในสมัยพระยาพิมพิสารราชานั้นมีมาก ตกมาถึงรุ่นเจ้าพิริยเทพวงษ์ผู้เป็นลูก จึงสามารถสร้างคุ้มใหม่หลังใหญ่ได้ แม้ว่าในปี พ.ศ. 2433 เป็นปีที่เมืองแพร่ฝนแล้งราษฎรทำนาได้หนึ่งส่วน เสียสี่ส่วนต้องเปิดคลังหลวงไปช่วยราษฎรก็ตาม แต่เมืองแพร่ยังมีเงินมากพอที่จะสร้างสถาปัตยกรรมงดงามล้ำค่าหลังนี้ขึ้นมาได้ . ในปี พ.ศ. 2445 ได้เกิดความไม่สงบขึ้นในเมืองนครแพร่ ทำให้เจ้าพิริยเทพวงษ์ได้หลีภัยการเมืองไปอยู่เมืองหลวงพระบาง ประเทศลาวและไม่ได้มาอีกจนถึงพิราลัย สยามจึงได้ยึดราชสมบัติ และคุ้มของเจ้าหลวง และได้ใช้เป็นที่ตั้งของกองทหารม้าจากกรุงเทพฯ ที่ส่งมารักษาความสงบเรียบร้อยในเมืองแพร่อยู่ระยะหนึ่ง บริเวณตรงข้ามคุ้มเจ้าหลวงเคยมีคอกม้าขนาดใหญ่ตั้งอยู่ เมื่อปี พ.ศ. 2454 พระยานิกรกิตติการ ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่คนที่ 4 ได้ย้ายโรงเรียนตัวอย่างเมืองแพร่ โรงเรียนหนังสือไทยตัวอย่างตามพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 มาตั้งอยู่ตรงข้ามคุ้มเจ้าหลวง โดยโรงเรียนนี้เมื่อแรกก่อตั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเกล้าฯพระราชทานนามว่า "โรงเรียนเทพวงษ์" ตามนามของเจ้าพิริยเทพวงษ์ผู้ริเริ่มก่อตั้งโรงเรียน เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2443 ต่อมาในปี พ.ศ. 2456 เมื่ออาคารเรียนไม้สักสร้างแล้วเสร็จ ซึ่งได้รับความร่วมมือร่วมใจจากมหาชนชาวเมืองแพร่ทุกหมู่เหล่าเป็นอย่างดีและได้รับบริจาคไม้สัก 100 ท่อน จากพระยาบุรีรัตน์ คุ้มวงศ์บุรี กรมที่ปรึกษาโรงเรียนตัวอย่างเมืองแพร่ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงโปรดเกล้าฯพระราชทานนามใหม่ว่า "โรงเรียนพิริยาลัย" ลงวันพุธที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2456 เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่เจ้าหลวงนครแพร่องค์สุดท้ายและเป็นพระบรมราชานุสรณ์แห่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 แต่ต่อมาโรงเรียนก็ได้ย้ายไปอยู่ที่ถนนยันตรกิจโกศล คือ โรงเรียนพิริยาลัยจังหวัดแพร่ในปัจจุบัน ส่วนคุ้มเจ้าหลวงก็กลายเป็นจวนหรือบ้านพักของผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ จนเมื่อ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ได้มอบให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่ดูแล มีการจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ขึ้นจนถึงปัจจุบัน . .. คุกใต้ดิน .. . นอกจากภายนอกจะดูเป็นบ้านที่มีสถาปัตยกรรมงดงามทรงคุณค่าแล้ว ใครจะรู้ว่า ใต้ถุนบ้านหลังนี้เคยเป็นที่กักขังนักโทษมาก่อน และเคยเกิดโศกนาฏกรรม จนกลายเป็นเรื่องราวลึกลับดำมืด และอาถรรพ์จวบจนปัจจุบันในอดีตบริเวณใต้ถุนอาคารหลังนี้เคยเป็นที่คุมขังนักโทษมานานนับศตวรรษ มีคนเจอโครงกระดูก โซ่ตรวน สภาพศพแขนขาหัก อยู่ใต้คุ้มเจ้าหลวง จ.แพร่ . ในห้องคุมขังได้ตัวอาคารถูกแบ่งออกเป็น 3 ห้อง โดยห้องกลางเป็นห้องทึบ ที่แสงไม่สามารถเล็ดลอดเข้ามาได้เลย มีไว้สำหรับขังข้าทาสที่กระทำความผิดขั้นร้ายแรงไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน มีความลี้ลับที่สร้างความกลัวชวนขนหัวลุกให้กับคนท้องถิ่น ถึงความเฮี้ยนของผีทาสในสมัยก่อน โดยแต่ละตำแหน่งของบ้านพื้นบ้าน จะพบว่ามีปล่องที่สามารถหย่อนนักโทษลงไป ซึ่งเป็นสาเหตุของพวกเขาแขนขาหัก และส่งข่าวส่งน้ำสู่ด้านล่าง หากลองได้ไปยืน ณ จุดที่ข้าทาสเคยถูกจองจำ คงทำให้เข้าใจถึงความทุกข์ทรมานเหล่านักโทษได้มากขึ้น (เครดิต : museum Thailand) . ปัจจุบัน : ไม่เสียค่าเยี่ยมชม และมีเวิร์คชอปงานฝีมือสำหรับผู้ที่สนใจ...
Read moreKhum Chao Luang is a historical building located in Phrae Province in northern Thailand. Originally built in 1892 by Chao Luang Piriyachai Thepphawong, the last ruler of Phrae, the house served as his residence. The building is an excellent example of a blend of traditional Lanna architecture and European styles, as reflected in its detailed wood carvings and architectural design.
Khum Chao Luang is a two-story structure built of brick and cement, notable for its 72 windows and doors, as well as the intricate carvings on the gables and cornices. The building was later used as the residence of King Bhumibol and Queen Sirikit during their visit to Phrae in 1958.
Today, Khum Chao Luang serves as a museum, open daily from 8:30 AM to 5:00 PM, with free admission for visitors. The museum exhibits period furniture, household items, and...
Read moreExcellent and totally free to enter, don't miss this important palace.
Jao Luang Piriyahepawong-u-Dorn
This statue was built as a tribute to the last "Jao Lunan" of Phrae (the King appointed ruler of the city) from 1889 to 1902.
Through his vision and leadership he was both devoted to the welfare of the Phrae people and a devout Buddhist. His most significant plans for administering included the establishment of a police force and a system for local people trading.
On 15th September 1902 during the rebellion of the Shan (many of them worked in Teak logging and mining in Phrae) the local rule was upset on a massive scale and he had to flee to Luang Prabang in Laos.
(In the basement there used to be interrogations of...
Read more