ศาลตาผาแดง ตั้งอยู่ติดกับตระพังตระกวน วัดสระศรี ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และใกล้กับประตูเมืองด้านเหนือ ลักษณะโบราณสถานเป็นแบบปราสาทขอม หลังเดี่ยว ก่อด้วยศิลาแลงทั้งองค์ ส่วนล่างเป็นฐานบัวลูกฟัก ส่วนเรือนธาตุมีห้องยาว ยื่นออกไปจากตัวปราสาททางด้านตะวันออกและตะวันตก โดยห้องด้านตะวันออกมีความยาวกว่าด้านตรงข้าม ส่วนยอดปราสาทพังทลาย เมื่อกรมศิลปากรดำเนินการขุดแต่งและบูรณะศาลตาผาแดง ได้พบชิ้นส่วนประติมากรรมรูปเคารพสลักจากศิลาลอยตัว จำนวน 4 องค์ เป็นศิลปะแบบขอมสมัยบายนตอนต้น ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำแหง สุโขทัย โบราณสถานแห่งนี้เป็นหลักฐานยืนยันถึง การมีชุมชนที่มีวัฒนธรรมขอม นับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดูปะปนในแถบนี้แล้ว เมื่อประมาณต้นพุทธศตวรรษที่ 18 ในปี พ.ศ. 2444 สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงกล่าวถึงซากปราสาทศิลาแลงขนาดใหญ่หลังหนึ่งในเมืองเก่าสุโขทัย ในพระนิพนธ์เรื่อง “จดหมายระยะทางไปพิษณุโลก" เป็นการกล่าวถึง “ปราสาทศาลตาผาแดง” เป็นครั้งแรก ในปี 2450 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จเยือนเมืองสุโขทัยโบราณ ทรงมีพระราชนิพนธ์ไว้ในเรื่อง “เที่ยวเมืองพระร่วง” ทรงคิดว่าที่นี่ไม่ใช่โบสถ์พราหมณ์ แต่อาจเป็นศาลเทพารักษ์ ซึ่งต้องเป็นที่นับถือในกรุงสุโขทัยโบราณ เพราะว่าการก่อนั้นนั้นแสดงให้เห็นถึงฝีมืออันประณีต จึงทรงพระราชทานนามให้โบราณสถานแห่งนี้ว่า “ศาลพระเสื้อเมือง” สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงกล่าวถึงที่มาของเทวรูปสำริดขนาดใหญ่ 2 องค์ ที่พบจากศาลพระเสื้อเมือง ในคำอธิบายประกอบในพระราชนิพนธ์เรื่องเที่ยวเมืองพระร่วงว่า “... ปรางค์ศิลาแลงนี้ ตรวจต่อมาทราบว่าเป็นที่ประดิษฐานรูปพระอิศวรทางมุขหน้า รูปพระนารายณ์ทางมุขหลัง เทวรูปหล่อทั้งสององค์นั้นเห็นจะเชิญลงมากรุงเทพฯ. เมื่อรัชกาลที่ 1 พร้อมกับพระพุทธรูปศรีศากยมุนีที่วัดสุทัศน์ เดิมเอาไว้ที่เทวสถานคือองค์ใหญ่กว่าเพื่อนที่อยู่คู่ต้นในพระที่นั่งอิศราวินิจฉัย...” (ตรี อมาตยกุล 2493) ในปี พ.ศ. 2502 – 2503 มีการขุดแต่งและบูรณะปราสาทตาผาแดงเป็นครั้งแรก ซึ่งได้ขุดพบรูปประติมากรรมหินทรายที่ถูกทุบทำลาย ไม่พบส่วนพระเศียรและพระกร เป็นรูปบุรุษ 3 องค์ และสตรี 1 องค์ ฐานรูปประติมากรรมจากหินทรายในท้องถิ่นจำนวน 3 ฐาน ฐานศิลาแลง 1 ฐาน และพระบาทคู่ของรูปประติมากรรมที่ยังคงหักคาอยู่ในเดือย ของฐานที่จมอยู่ใต้พื้นตรงกึ่งกลางของห้องครรภคฤหะ ซึ่งฐานและส่วนพระบาท ทั้งหมดยังคงอยู่ภายในห้องประธานอยู่ในปัจจุบัน รูปประธานดังกล่าวควรเป็นรูป “พระรามหรือองค์ราม” (Rama) ที่เป็นรูปศิลปะจากคตินิยมและความเชื่อความศรัทธาตรงตามยุคสมัยปลายนครวัด ช่วงปลายสุดของพุทธศตวรรษที่ 17 ที่สอดคล้องใกล้เคียงกับเวลาในการก่อสร้างตัวปราสาทจากหลักฐานการขุดค้นทางโบราณคดี โดยรูปที่เหลือที่มีขนาดเล็กกว่า รูปสตรีควรเป็นรูปของนางสีดา (Sita) อวตารขององค์พระลักษมีเทวี รูปบุรุษคือ องค์ลักษมัณ (Lakshmana) พระภรต (Bharata) และพระศัตรุฆน์ (Shatrughna) ที่เกิดจากอวตารแห่งพระวิษณุทั้งหมด (ซึ่งรูปหนึ่งอาจสูญหายไป จากสภาพความตั้งใจในการทำลาย) ถึงรูปประติมากรรมทั้งหมด จะถูกทุบทำลายภายหลังการสิ้นอำนาจของกลุ่มผู้ปกครองสุโขทัยในยุคเริ่มแรก แต่ร่องรอยจากหลักฐานทั้งศิลปะ-ประติมานวิทยา คติชนความเชื่อและความนิยมในการประดิษฐานรูปประธานในยุคสมัยปลายศิลปะนครวัดก่อนถึงคติพุทธวัชรยานในยุคจักรวรรดิบายน ที่สอดรับกับเวลาการสร้างจากหลักฐานการขุดค้นทางโบราณ-วิทยาศาสตร์ ที่อาจสรุปได้ว่า เทวรูปทั้ง 4 จากปราสาทศาลตาผาแดงนั้น คือรูปประติมากรรมจากวรรณกรรม “มหากาพย์รามายาณะ” (Ramayana story - Sanskrit epic) อันศักดิ์สิทธิ์...
Read moreJust outside the historical park fence, this temple is one of the very few Khamer influenced structures in the area. Definitely visit. Not very large, but the surrounding area is very peaceful - good...
Read moreHave been there many times for photo opportunities. Ta Pha Daeng Shrine, (13th century), this modest shrine is the oldest surviving religious monument...
Read more