323...10 02 2567 เสาชิงช้า แขวงวัดราชบพิธ แขวงเสาชิงช้า และแขวงสำราญราษฎร์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร เสาชิงช้า เป็น สถาปัตยกรรม สิ่งก่อสร้างสมัยยุคต้นรัตนโกสินทร์ สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2327 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สร้างขึ้นเพื่อใช้ประกอบพิธีโล้ชิงช้า ใน พระราชพิธีตรียัมพวาย ตรีปวาย ของ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู กรมศิลปากร ได้ประกาศขึ้นทะเบียนเสาชิงช้าเป็น โบราณสถาน ณัฐดนัย ภักดีวีรวงศ์ ถ่ายภาพ 10 02 2567 มีทั้งหมด 18 ภาพ สิ่งก่อสร้างนี้อยู่ในอัลบั้มที่ 323 ของผู้เขียน (ภาพถ่ายของผู้เขียนทุกภาพทุกอัลบั้มสามารถนำไปใช้ได้ ผู้เขียนตั้งใจที่จะเผยแผ่พระพุทธศาสนา เพื่อประโยชน์ในการสื่อสารศาสนาในวงกว้าง โดยไม่ต้องขออนุญาติ) เดินทางมาพร้อมกับ'เมฆดำทะมึน”ก่อนที่ฝนจะตกลงมา ถ่ายได้เเค่ 4 ภาพ ฝนก็เริ่มลงเม็ด จนต้องเข้าไปยัง วัดสุทัศน์เทพวราราม เเละกลับมาถ่ายอีกครั้งเเต่ก็ยังคงมีเม็ดฝนเล็กๆโปรยปรายตลอด อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เกี่ยวข่องกับวัดนัก เเต่เป็นจุดความเชื่อที่เกี่ยวกับศาสนา พิธีกรรมความสำคัญเเละอยู่ตรงหน้า วัดสุทัศน์เทพวราราม นั่นเอง เสาชิงช้า เป็น สถาปัตยกรรม ที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ประกอบพิธีโล้ชิงช้า ใน พระราชพิธีตรียัมพวาย ตรีปวาย ของ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู โดยทั่วไปหมายถึงเสาชิงช้าที่ตั้งอยู่หน้า วัดสุทัศน์เทพวราราม และลานหน้า ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (ลานคนเมือง) ใกล้กับ เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ ในพื้นที่แขวงเสาชิงช้าและแขวงวัดราชบพิธ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของ กรุงเทพมหานคร แม้พิธีโล้ชิงช้าได้เลิกไปแล้วตั้งแต่สมัย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ก็ตาม เสาชิงช้าที่ กรุงเทพมหานคร แห่งนี้ มีลักษณะเป็นเสาชิงช้าขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บนแท่นหินขนาดใหญ่ สูง 21.15 ม. เส้นผ่านศูนย์กลาง ฐานกลมประมาณ 10.50 ม. ฐานกลมก่อเป็นฐานปัทม์ทำด้วยหินล้างสีขาว พื้นบนปูกระเบื้องดินเผาสีแดง มีบันได 2 ขั้น ทั้ง 2 ด้าน ตามแนวโค้งของฐานติดแผ่นจารึกประวัติเสาชิงช้า เสาไม้แกนกลางคู่และเสาตะเกียบ 2 คู่ เป็นเสาหัวเม็ด ล้วนทำด้วยไม้สักกลึงกลม โครงยึดหัวเสาทั้งคู่แกะสลักอย่างสวยงาม กระจังและหูช้างไม้เป็นลวดลายไทย ทั้งหมดทา สีแดงชาด ติด สายล่อฟ้า จากลวดลายกระจังด้านบนลงดิน กรมศิลปากร ได้ประกาศขึ้นทะเบียนเสาชิงช้าเป็น โบราณสถาน สำคัญของชาติเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2492 นับตั้งแต่สร้างครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2327 จนถึงการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งล่าสุดซึ่งเสาชิงช้าคู่เดิมถูกถอดเปลี่ยนเมื่อปี พ.ศ. 2549 เสาชิงช้ามีอายุรวมประมาณ 222 ปี พิธีโล้ชิงช้า เป็นวัฒนธรรมพื้นเมืองดั้งเดิมในหลายภูมิภาค ซึ่งมีความเชื่อแตกต่างหรือคล้ายคลึงกันไปตามบริบทสังคมและประสบการณ์ของคนในพื้นที่นั้น เช่น ที่อินเดียเป็นการบูชาพระเจ้า การรวมกันของความศรัทธา และความเฉลิมฉลอง, เกาหลี เป็นการละเล่นและกีฬาพื้นบ้าน, จีน เป็นการละเล่นต้อนรับเทศกาลตรุษจีน , เวียดนาม เป็นการแสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษและธรรมชาติในเทศกาลรับฤดูฝน, ชาวเผ่าอาข่า เป็นการละเล่น รื่นเริงในปีใหม่ ฉลองความสมบูรณ์ของพืชพรรณ เป็นต้น สำหรับการโล้ชิงช้าที่ปรากฏในประเพณีพิธีกรรมของไทย สันนิษฐานว่าเป็นประเพณีท้องถิ่นดั้งเดิมที่มีอยู่ก่อน จนมีการรับศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เข้ามาในดินแดน จึงมีการผนวกประเพณีให้เป็นพิธีกรรมที่มีความศักดิ์สิทธิ์ เชื่อมโยงความเชื่อ พิธีโล้ชิงช้าของไทย เรียกว่า พระราชพิธี “ตรียัมปวาย ตรีปวาย” ซึ่งเป็นการต้อนรับพระอิศวร เทพเจ้าของศาสนาพราหมณ์หรือศาสนาฮินดู ที่จะเสด็จมาเยี่ยมโลกมนุษย์ เป็นเวลา 10 วัน เป็นพิธีหนึ่งในพระราชพิธีสิบสองเดือน ที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาทุกปี ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี จนกระทั่งถึงรัชกาลที่ ๗ ก็ได้เลิกไปเนื่องจากผลกระทบทางเศรษฐกิจ เพราะประเพณีโล้ชิงช้านี้มีค่าใช้จ่ายสูง เมื่องดไปในรัชกาลที่ ๗ แล้วก็ไม่เคยมีการโล้ชิงช้าที่เสาชิงช้าอีกเลย แต่ยังคงมีพิธีตรียัมปวายซึ่งทำพิธีโล้ชิงช้าขนาดเล็กในเทวสถานตามโบราณราชประเพณี เสาชิงช้าคู่แรกๆนั้น ผุพังไปตามกาลเวลาที่ผ่านมากว่าสองศตวรรษ ส่วนเสาชิงช้าที่เห็นอยู่ปัจจุบัน นับเป็น คู่ที่ 4 แล้ว เป็นเสาต้นใหม่ ซึ่งได้มีการจัดพิธีสมโภชน์เสาชิงช้าครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 11-13 กันยายน 2550 โดยใช้ไม้สักทองมาจากเมืองแพร่ ซึ่ง กรุงเทพมหานคร ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงเป็นบ้านพี่เมืองน้องกับจังหวัดแพร่ ในฐานะที่เป็นแหล่งให้ต้นสักมาบูรณะเป็นเสาชิงช้าคู่ใหม่อีกด้วย
ทั้งนี้ กรมศิลปากร ได้ประกาศขึ้นทะเบียนเสาชิงช้าเป็นโบราณสถานสำคัญของชาติ ไว้เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ.2492 ขอขอบคุณเเหล่งข้อมูลจากวิกิพีเดีย...
Read moreThe Giant Swing is an iconic landmark and popular tourist attraction located in Bangkok, Thailand. As a historical site, the Giant Swing has a unique charm that attracts visitors from all over the world.
The towering structure itself is impressive to behold, standing at over 20 meters tall. It is made up of two large red pillars that are connected by a giant wooden crossbar. The intricate design of the wooden crossbar is particularly impressive, featuring beautiful carvings and decorations.
Aside from the striking appearance of the Giant Swing, visitors can also learn about its rich history and cultural significance. The structure was originally used in an ancient Brahmin ceremony known as the "Swing Ceremony," which was believed to bring good fortune to the kingdom.
In addition to its historical and cultural significance, the Giant Swing also offers beautiful views of the surrounding area. From the top of the structure, visitors can enjoy panoramic views of the city and take in the bustling energy of Bangkok.
Overall, I highly recommend a visit to the Giant Swing for anyone traveling to Bangkok. Its unique design, rich history, and stunning views make it a must-see attraction for any tourist or...
Read moreVisiting Sao Chingcha, also known as the Giant Swing, was one of the most memorable experiences during my trip to Bangkok. This iconic landmark is not only visually striking but also steeped in rich history, making it a must-visit attraction for anyone exploring the city.
The Giant Swing stands as a testament to Bangkok's cultural and religious heritage. Historically, it was used in Brahmin ceremonies to honor the Hindu god Shiva, where participants would swing high to reach a bag of gold suspended in the air. Although the swinging ceremonies are no longer held, the structure remains a powerful symbol of tradition and spirituality.
The intricate design and towering height of the swing are awe-inspiring, and it’s fascinating to imagine the vibrant ceremonies that once took place here. Located near Wat Suthat, another stunning temple, the area offers a peaceful yet profound atmosphere that connects you to Bangkok's past.
I highly recommend visiting Sao Chingcha for its historical significance, architectural beauty, and the opportunity to learn more about Thai culture. It’s a perfect spot for history enthusiasts, photographers, and anyone looking to immerse themselves in the...
Read more